5 ส.ค. 2022 เวลา 08:57 • ข่าวรอบโลก
ช่องแคบไต้หวัน ภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก
หลังการมาเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลระดับสูงสุดของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาเยือนไต้หวันในรอบ 25 ปี ซึ่งก็ตามมาด้วยความตึงเครียดในพื้นที่ช่องแคบไต้หวันที่ยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการซ้อมรบขนาดใหญ่ 6 จุดรอบไต้หวันของกองทัพจีน และการยิงขีปนาวุธ “ตงเฟิง” หลายลูกตกลงในเขตพื้นที่ทะเลของไต้หวัน
การยกระดับการซ้อมรบ และขยายเวลาการซ้อมรบออกไปจนถึงวันจันทร์ 10 โมงเช้า ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการขยายกรอบเวลาการซ้อมรบออกไปอีก ซึ่งหากพิจารณาแผนที่การซ้อมรบในตอนนี้เรียกว่าเป็นการซ้อมรบที่ล้อมกรอบไต้หวันเอาไว้แล้ว
โดยสายข่าวความมั่นคงส่วนใหญ่ทราบตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าจีนมีแผนที่จะบุกไต้หวันภายในปีนี้ โดยข่าวดังกล่าวนั้นมีมาก่อนหน้าการบุกยูเครนของรัสเซียเสียอีก หากแต่การบุกยูเครนของรัสเซีย และสถานการณ์ต่อจากนั้นทำให้จีนต้องทบทวนแผนการนี้ใหม่
หากพิจารณาตามประวัติศาสตร์ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีความจำเป็นที่จะต้องเจริญสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ซึ่งก็เท่ากับต้องยอมรับนโยบาย “จีนเดียว (One China Policy)” เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด
ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯ เองที่ก็เริ่มความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่มาตั้งแต่ปี 1973 อย่างไม่เป็นทางการในรูปแบบของศูนย์ประสานงานสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่ง (The U.S. Liaison Office in Beijing) และมาเริ่มความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1979 ซึ่งก็เท่ากับต้องยุติความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวันเช่นกัน และเปลี่ยนไปใช้สถานะทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการแทน
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สถานะของไต้หวันกับนานาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรก็ถือว่ามีความ “กำกวม” ทางยุทธศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไต้หวันนั้นเป็นหน่วยทางการเมือง “หน่วยหนึ่ง” มาโดยตลอด แต่คำถามที่ต้องถามก็คือเป็น “หน่วยไหน” เป็นระดับ “ประเทศ” หรือระดับไหน? แต่ที่แน่นอนคือ “ไต้หวัน” มีความสำคัญเป็นอย่างมากทั้งในทางยุทธศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปที่สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้น 1 ในข้ออ้างสำคัญของรัสเซียที่ทำการบุกยูเครนก็คือเพราะยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งก็คือข้ออ้างเดียวกับที่จีนอ้างว่าไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีนมาโดยตลอด แต่สถานการณ์ของยูเครนกับไต้หวันนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
กล่าวคือแม้ว่ารัสเซียจะทำการบุกคาบสมุทรไครเมียในปี 2014 และอีกครั้งในปี 2022 แต่ยูเครนนั้นไม่ได้เตรียมพร้อมกับสงครามกับรัสเซียนับตั้งแต่มีการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ซึ่งแตกต่างกับไต้หวันโดยสิ้นเชิง เพราะประวัติศาสตร์ของไต้หวันนั้นจีนคือภัยคุกคามเสมอ และไต้หวันก็เตรียมพร้อมในการรับมือกับจีนมาโดยตลอด อีกทั้งไต้หวันกับจีนก็เคยมีการรบกันมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้งในวิกฤตช่องแคบไต้หวันครั้งที่ 1 ปี 1955 และครั้งที่ 2 ปี 1958
ซึ่งแม้ว่าทั้งสองครั้งจะจบลงด้วยการหยุดยิง แต่หากจะบอกว่าจีนล้มเหลวไม่สามารถเอาชนะและยึดครองไต้หวันได้ก็ไม่ผิด
จากบทเรียนในยูเครน ต้องบอกว่า “ไต้หวัน” เป็นโจทย์ที่ยากกว่าในทางการทหารของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมองจากความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ของไต้หวัน
อีกเรื่องที่เราจะลืมไม่ได้ก็คือสภาพภูมิรัฐศาสตร์ของทะเลจีนใต้ และคาบสมุทรไต้หวันนั้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน สำคัญยิ่งกว่ายูเครนเสียอีก เพราะ ทะเลจีนไต้นั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งของพื้นที่ทางทะเล โดยเฉพาะการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทะเลจีนไต้ของจีนตามรอยประ 9 เส้น ซึ่งมีประเทศต่างๆ เข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งหลายประเทศ รวมไปถึงไต้หวันที่เป็นพันธมิตรสำคัญ และคู่ค้าของสหรัฐฯ
แม้ว่าจีนจะแสดงออกอย่างแข็งกร้าวว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และเตือนสหรัฐฯ รวมไปถึงประเทศต่างๆ ว่าอย่าเข้ามายุ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าท่าทีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีความชัดเจนเป็นอย่างมากว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะใช้กำลังทหารเข้าช่วยเหลือไต้หวันหากถูกโจมตีจากกองทัพจีน ซึ่งท่าทีของสหรัฐฯ เองก็ถูกจับตามองจากพันธมิตรของสหรัฐฯ ทั่วโลก และสหรัฐฯ เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยเหลือไต้หวันเพื่อรักษาแนวนโยบายและความมั่นคงในภูมิภาค รวมไปถึงสถานะของสหรัฐฯ บนเวทีโลก
อย่างไรก็ตามการซ้อมรบของจีนในเวลานี้ ก็คือการปิดล้อมไต้หวันอย่างชัดเจน ซึ่งการทำเช่นนี้ยิ่งยืดระยะเวลาออกไปก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างกองเรือที่ 7 ของสหรัฐฯ และกองทัพเรือจีน ไม่เพียงแค่นั้นยังมีตัวแปรเป็นกองทัพของประเทศจต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่แม้ทุกประเทศจะมองจีนเป็นคู่ค้าสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันจีนเองก็ถือเป็นภัยคุกคามด้วย ดังนั้นการเผชิญหน้าและการปิดล้อมทางการทหารในเขตทะเลจีนใต้ ทะเลญี่ปุ่น และช่องแคบไต้หวันน่าจะเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
คำถามในเวลานี้ก็คือแต่ละฝ่ายพร้อมที่จะยกระดับความตึงเครียดนี้ไปแค่ไหน พร้อมที่จะก่อสงครามหรือไม่???
โฆษณา