7 ส.ค. 2022 เวลา 16:23 • ความคิดเห็น
“ jealousy jealousy “
I'm so sick of myself
I'd rather be, rather be
Anyone, anyone else
But jealousy, jealousy
Jealousy, jealousy - Olivia Rodrigo
ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและน่าสับสนในเวลาเดียวกัน คงเพราะว่าเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเป็นเด็กและการเป็นผู้ใหญ่
เรามีความเชื่อหนึ่งว่า ทุกคนเดินทางมาถึงรอยต่อนี้ด้วยตัวตนที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะนิสัย ความรู้ หรือความชอบ อะไรๆก็ล้วนแตกต่างกันทั้งนั้น
แล้วจู่ๆรอยต่อระหว่างเรากับโลกกว้างก็เปิดขึ้น
โลกที่กว้างใหญ่ มาพร้อมกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิต
เรายังจำความรู้สึกนั้นได้ เป็นความรู้สึกอิสระและตื่นตาแบบแปลกๆ
เป็นความรู้สึกจากการได้เจอกับผู้คน ทัศนคติ แนวคิด และ วิถีชีวิตที่ต่างไปจากเราโดยสิ้นเชิง (หรือบางทีก็ไม่สิ้นเชิงขนาดนั้น)
ความตื่นเต้นแบบนั้นเป็นความทรงจำที่ดีและยังคงชัดเจนอยู่จนถึงตอนนี้
แต่ว่าก็มาถึงจุดนึงที่ความคิดเห็นและตัวตนของผู้คนอื่นๆในโลกกว้างไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นอีกต่อไป แต่กลายเป็นอย่างอื่นแทน
การพบเจอกับคนมากมายเริ่มทำให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองมี สิ่งที่ตัวเองเป็น หรือแม้แต่สิ่งที่ตัวเองเชื่อ
เหมือนกับว่า พอถึงจุดหนึ่งตัวตนที่ทำให้เรากลายเป็นเราก็ถูกท้าทายด้วยตัวตนของคนอื่น(ที่เพิ่งเจอ)ไปซะงั้น
“co-comparison is killing me slowly.”
จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามที แต่การพบเจอคนมากมายในสังคมก็เริ่มทำให้เราเข้าสู่วงจรการเปรียบเทียบ aka วงจรอุบาทว์
ทำไมเค้าทำแบบนี้ ทำไมถึงมีสิ่งนั้น ทำไมไปถึงจุดนั้นได้ คำถามมากมายไปหมด
เอาเข้าจริงๆ ถ้าลองออกมายืนพักนอกวงจรอุบาทว์นี้บ้างจะค้นพบว่า เรื่องนี้เสียเวลาและพลังงานโดยใช่เหตุ แต่แน่นอนตอนอยู่ในนั้นก็ไม่มีทางคิดได้หรอก
การพยายามไล่ตามคนอื่นก็เหมือนหนูปั่นจักร หรือนักวิ่งบนสายพานที่ออกแรงให้ตายก็ไม่ได้ไปไหน
มากไปกว่านั้น เราคิดว่าการวิ่งตามคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นเรื่องอันตราย และ ง่ายกับการหลงทาง
เพราะทางที่คนอื่นวิ่งอยู่ อาจจะไม่ใช่ทางที่เราอยากจะไปจริงๆก็ได้
“i think i think too much bout kids who don’t know me.”
เคยเจอทวิตนึงเขียนประมาณว่า พอโตขึ้นถึงรู้ว่า ไม่ได้มีใครแคร์อะไรเราขนาดนั้น อยากทำไรก็ทำเถอะ
กี่ครั้งที่พลาดทำอะไรลงไปเพราะคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้คนอื่นประทับใจ หรือ กังวลกับการจะทำอะไรสักอย่างนึงมากๆ เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง
ไม่ว่าจะแบบไหน สุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจหรอก เพราะ พอโตขึ้นทุกคนต่างก็สนใจใช้ชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น
ถ้าถามว่าการอยู่บนโลกมา20กว่าปี ได้สอนอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นคงมีคำสอนที่ว่า ชีวิตมนุษย์ช่างสั้น และเวลาอันมีค่านี้ก็ควรใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา และ ถูกคน
“i’m so sick of myself rather be anyone else.”
การที่เราทำอะไรสักอย่างบ่อยๆมักจะนำมาซึ่งความหมกมุ่น และความหมกมุ่นบ่อยครั้งก็มักจะนำมาสู่หายนะ หรือ ในที่นี้คงจะเป็นการ self sabotage
คำถามว่าขั้นสูงสุดของวงจรอุบาทว์นี้จะไปจบลงตรงไหน ให้เราตอบก็คงจะเป็นตอนที่เราเลือกจะละทิ้งตัวตนของตัวเอง และ ภาวนาให้เรากลายเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่เรา
จริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้เราออกจากวงจรนี้ได้ (จะพูดว่าออกก็ไม่เต็มปาก เรียกว่า ออกมายืนดูข้างสนามบ้าง เข้าไปเจ็บตัวในสนามบ้างเป็นครั้งคราวจะดีกว่า)
แต่เราคิดว่าเรื่องนี้เหมือนกับการเห็นเพื่อนกินเค้ก (อาจจะไม่เหมือนซะทีเดียวแต่concept คร่าวๆน่าจะพอไหว)
เวลาเราเห็นเพื่อนกินเค้ก เราก็คิดว่าดีจัง อยากกินเค้กบ้าง
แต่เราต้องถามตัวเองก่อนว่าตัวเราชอบกินเค้กรึป่าว การได้เค้กมาจะทำให้เรามีความสุขจริงมั้ย
ถ้ามีความสุขจริง ต่อให้คนอื่นไม่ไปซื้อเค้กกินแล้ว แต่เราก็จะยังมีความสุขในการเดินไปซื้อเค้กให้ตัวเองกินอยู่ดี
มันจะไม่ใช่การทำไปเพราะอยากแค่มีเค้กเหมือนคนอื่น แต่เป็นการทำไปเพราะเรามีความสุขในการได้กินเค้กจริงๆ
แล้วถ้าสมมติเราไม่อยากกินเค้ก แล้วเราไปซื้อมาจะเกิดไรขึ้น
คำถามก็คือ เราจะซื้อของที่ตัวเองไม่อยากกินทำไม
ของที่คนอื่นมีไม่ได้แปลว่าเราจะต้องมี เหมือนที่คนอื่นกินเค้ก แต่เราเป็นคนชอบกินไอติม แล้วเราจะพยายามทุกทางเพื่อเดินไปร้านเค้กทำไม
เราว่าแต่ละคนก็คงมีวิธีจัดการความคิดในแบบของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วหวังว่า ทุกคนจะได้รู้จริงๆว่าขนมอะไรที่ตัวเองชอบ อย่าใช้ชีวิตแบบเห็นอะไรผ่านตาก็อยากซื้อมาหมดเลย เพราะคงจะเป็นชีวิตที่เหนื่อยน่าดู
โฆษณา