8 ส.ค. 2022 เวลา 02:26 • ประวัติศาสตร์
ผมสนใจเรื่องจักรวาลวิทยามาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมมีความสนใจใคร่รู้ว่า จักรวาลมันเกิดมาได้อย่างไร มันมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดหรือไม่ มันมีขอบเขตหรือขนาดใหญ่แค่ไหน ในตอนเด็กๆผมเข้าใจว่าดวงดาว กาแล็คซี่มันกระจายอยู่ไปทั่วอย่างสมํ่าเสมอในเอกภพ และเอกภพมีสภาพอยู่นิ่งและอยู่อย่างนั้นตลอดกาล และคิดว่ามีแค่ดวงดาวแค่นั้นบรรจุอยู่ในนั้น
แต่ในความเป็นจริง ดวงดาวไม่ได้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วกาแล็คซี่ แต่รวมตัวเป็นกระจุกรูปเกลียว อยู่ในกาแล็กซี่ ช่องว่างระหว่างกาแล็คซี่มันช่างกว้างใหญ่มโหฬารเหลือเกิน จินตนาการว่าเมื่อเราขับยานอวกาศ ออกไปนอกโลก ในช่วงแรกเราจะเจอเทหวัตถุในอวกาศ เช่น ดาวเคราะห์ เนบิวล่า พัลซาร์ ควอซาร์ ดาวหาง ดาวฤกษ์ แต่พอขับออกไปเรื่อยๆ (สมมติว่าจรวดของเรามีความเร็วใกล้แสงและลืมทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ไปก่อน) เราจะพบแต่ความว่างปล่าว ดํามืด เป็นระยะเวลายาวนานมาก
จนเกือบจะแก่ตายก็ว่าได้จึงจะเจอกลุ่มของดาวเคราะห์ในอีกกาแลกซี่หนึ่ง แสดงว่า กาแล็คซี่แต่ละกาแล็คซี่มันถูกผลักออกจากกัน ตอนถือกำเนิดและมันขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จนช่องว่างมันห่างกันมาก ทําไมมันเป็นเช่นนั้น ทําไมมันต้องขยายตัว ทําไมมันต้องเป็นรูปเกลียว
นักจักรวาลวิทยา เชิ่อว่าจักรวาลกําเนิดมา จาก Bigbang คือการระเบิดอย่างรุนแรงมาจากสาเหตุอะไรบางอย่างจากความว่างปล่าว กําเนิดอนุภาคมูลฐาน กําเนิดเทหะวัตถุ จนรวมตัวเป็นดวงดาว กาแล็คซี่และขยายตัวออกไปด้วยแรงระเบิดนี้ ข้อสันนิษฐานนี้มาจากการที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า จักรวาลไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กําลังขยายตัวออกไปด้วยความเร็วสูงมาก ดังนั้นถ้าย้อนไปในอดีตนั้นคือมันต้องเคยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ถ้าย้อนเวลากลับไปนานมาก แสดงว่ามันอยู่รวมกันเป็นจุด
ข้อสันนิษฐานนี้แปลกประหลาดมาก ที่ว่าจักรวาลเกิดมาจากความว่างปล่าว ที่อยู่ๆมันระเบิดออกมาให้กําเนิดดาวเคราะห์ กาแล็คซี่ได้ ก่อนหน้ามันกําเนิดมีสิ่งใดอยู่ นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มก็ไม่เชื่อข้อสันนิษฐานนี้ บางกลุ่มเชื่อว่าเอกภพมีสภาพคงอยู่อย่างนี้มาก่อน ไม่มีการระเบิดของ Bigbang อะไรทั้งสิ้น
จึงเป็นที่มาของโมเดลเอกภพ 3 แบบคือ โมเดลเอกภพปิดที่เชื่อว่าเอกภพ มีความโค้ง ( ถ้าเราขับยานอวกาศตรงไปเรื่อยๆจะกลับยังมาที่เดิม) มีการขยายตัวออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดจะหยุดขยายตัวและจะหดตัวรวมกันเป็นจุดเล็กๆอัดแน่น และระเบิดเป็น Bigbang วนกลับไปกลับมา ส่วนอีกโมเดลคือเอกภพมีสภาพคงที่ตลอดกาล โมเดลสุดท้ายคือโมเดลเอกภพเปิด คือขยายตัวออกไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง
องค์ประกอบของเอภพก็ยังเป็นความลับอันดํามืดอยู่ ในนั้นเราคิดว่าเราพบว่าดวงดาว ดาวเคราะห์ กาแล็คซี่ประกอบด้วยธาตุ ในตารางธาตุที่เราเคยเรียนมา แต่ในความจริงสสารที่มีมวลจะก่อกําเนิดแรงโน้มถ่วง ข้อสันนิษฐานนี้เชื่อว่ากาแลกซี่ที่รวมเป็นคลัสเตอร์ เพราะมีสสารที่เราไม่รู้จักในตารางธาตุเป็นจํานวนมาก อยู่ในจักรวาล ดึงดูดกาแล็คซี่จับตัวเป็นกลุ่มๆด้วยแรงโน้มถ่วง
เราเรียกสสารลึกลับนั้นว่าสสารมืด นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จักว่ามันคืออะไร? แต่รู้ว่ามันมีอยู่ ประกอบกับพลังงานลึกลับที่เราไม่รู้จัก ผลักดันทําให้เอกภพขยายตัวเรียกว่า พลังงานมืด
และยังมีหลุมดํา ซึ่งเป็นเทหวัตถุลึกลับที่เราไม่รู้จัก รู้แต่ว่ามันมีแรงดึงดูดมหาศาลสามารถดูดทุกสิ่ง เข้าหาตัวมันแม้แต่แสงก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาจากหลุมดําได้ หลุมดำกําเนิดมาจากแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล เกิดจากดาวฤกษ์ เช่นดวงอาทิตย์ที่หมดพลังงานในตัว แนวโน้มถ่วงจึงเอาขนะแรงนิวเคลียร์ในตัวจนมันยุบตัว ถูกอัดแน่นกลายเป็นดาวแคระขาว กลายเป็นดาวนิวตรอน จนกลายเป็นหลุมดำในที่สุด หลุมดำทําไมจะต้องอยู่ในใจกลางแทบทุกการแลกซี่ อะไรอยู่ในหลุมดําและปลายทางมันสิ้นสุดที่ตรงไหน
แรงโน้มถ่วง ก็เป็นความลับของจักรวาลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนิวตันอธิบายว่ามันคือแรง แต่ไอน์สไตน์บอกมันคือคลื่นความโน้มถ่วง เกิดจากวัตถุมีมวลขนาดใหญ่ 2 ชนิดอยู่ใกล้กัน มันจะทําให้กาลอวกาศบิดเบี้ยว ้กิดเป็นหลุมร่อง ให้วัตถุมวลเล็กกว่าขยับไปตามร่องนั้น คลื่นความโน้มถ่วงเป็นตัวที่ทําให้ กาแล็คซี่ดวงดาว เกาะกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ สสารมืดก่อให้เกิดความโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงมีผลในเสกลขนาดใหญ่แต่ไม่มีผลกับอะตอม อิเล็กตรอนในเสกลเล็กๆ
จักรวาลกับควอนตัมมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ดังคํากล่าวที่ว่าใหญ่คือเล็ก เล็กคือใหญ่ ควอนตัมอธิบายว่าจักรวาลเกิดมาได้อย่างไร เพราะถ้าเรารู้คุณสมบัติของสิ่งที่เล็กที่สุดในระดับควอนตัม เราก็จะเข้าใจในระดับใหญ่โดยไม่ยาก ฟิสิกส์ควอนตัมจึงมีความสัมพันธ์กับจักรวาลวิทยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ใข้ได้กับระดับกาแล็คซี่ในเสกลใหญ่ๆเท่านั้น ไม่สามารถอธิบายในเสกลเล็กมากในระดับอะตอมและคุณสมบัติอนุภาคมูลฐานได้
Bigbang กําเนิดเอกภพกําเนิดมิติ ทฤษฎีเอกภพฟองสบู่ ( Bubble universes) เชื่อว่า Bigbang ระเบิดออกมาในรูปแบบฟองสบู่ ที่กําเนิดฟองสบู่ลูกหลายๆฟอง ฟองเหล่านั้นเปรียบเสมือนเอกภพหนึ่งเอกภพ ดังนั้นจึงมีเอกภพเป็นอนันต์ในรูปแบบต่างไป ก่อกําเนิดมิติต่างๆที่มีถึง 11 มิติ แต่เรารู้จักแค่เอกภพ 3 มิติเท่านั้น
นอกจากนั้นความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวาลก็คือ ทฤษฎีรวมแรงทั้ง 4 ในจักรวาลเข้าด้วยกัน เป็น The theory of everything แรงทั้ง4 ในจักรวาลประกอบด้วย แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม แรงโน้มถ่วง แรงทั้ง4 ถ้า bigbang มีจริงแสดงว่ามันต้องเคยอยู่รวมกันมาก่อน เป็นแรงเดียว แต่ปัจจุบันมันแยกกันอยู่ 3 แรงแรกอยู่ในระดับควอนตัม แต่แนวโน้มถ่วงอยู่ในเสกลใหญ่ระดับจักรวาล คือไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งตามหลักการแล้วจะต้องมีทฎษฎี
ที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมดในจักรวาลทั้งระดับ กาแล็คซี่และระดับควอนตัมที่เล็กมากๆในระดับอะตอม ซึ่งปัจจุบันทฤษฎีที่จะใช้อธิบายทั้งสองสิ่งมันแยกกันอยู่ จะเห็นได้ว่า มีสิ่งที่น่าสนใจติดตามเต็มไปหมด ซึ่งยังมีอีกมากจนผมขี้เกียจจะเขียนต่อ
ืืืืื
โฆษณา