9 ส.ค. 2022 เวลา 03:55
ในแต่ละวันที่เราตื่นขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตต่อไปนั้นคืออะไรกันแน่? ความสุขใช่หรือไม่ และความสุขของแต่ละคนก็ต่างกันไปใช่หรือไม่ บางคนมีแทบทุกสิ่ง ครอบครัวดี ฐานะดี การศึกษา หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ได้แฟนดี ลูกดี ถูกล็อตเตอร์รี่ทุกงวด เอ๊ะ ทั้งหมดนี้ที่ดีไปหมดยังขาดอะไรอีกนะ?
ถ้ามันดีขนาดนั้นแต่กลับไม่มีเพื่อนแท้ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครปลื้มเราเลยล่ะ หากเดินไปไหนก็มีแต่คนวงแตก กินข้าวกลางวันคนเดียวอย่างมีความสุข แบบว่าคุณไม่เคยแคร์ใครเลย ไม่ได้อยากมีเพื่อน ครอบครัวคือทุกสิ่ง บ้านคุณมีครบทุกอย่างอยู่แล้ว คุณไม่ได้ต้องการใครเลย เอาจริงจริงคนที่คิดแบบนี้ก็มีอยู่นะ
เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการในสิ่งที่เหมือนๆเรา บางคนเหมือนต้องการการยอมรับจากคนนอกบ้านเสียยิ่งกว่าคนในบ้าน อยู่บ้านคือปฏิสัมพันธ์แย่ อยู่บ้านคือขี้เหนียว แต่อยู่กับคนอื่นพี่พร้อมเปย์และยังเป็นคนสนุกสนานเป็นที่รักอีกด้วย เอ้อ ทำไมเนอะ ทำไมบางคนถึงมีความสุขในรูปแบบนี้ได้
แต่ชีวิตไม่ได้มีแค่ช่วงเวลาหนึ่ง มันคือทั้งชีวิต คือจวบจนเรานอนติดเตียง หูไม่ได้ยิน ตามองไม่ชัด สมองเลอะเลือน มันคือช่วงเวลาที่เราไม่ได้รับรู้แล้วหละว่าความสุขของเราคืออะไร ไม่สุขและอาจจะไม่ทุกข์ด้วยสำหรับบางคนเพราะไม่รู้อะไรแล้ว อาจไม่รู้จักตัวเองแล้วด้วยซ้ำ
หรือบางที ในประโยคสุดท้ายจากย่อหน้าที่แล้ว "ไม่รู้จักตัวเองแล้วด้วยซ้ำ" มันก็ทำให้เราไม่สุขหรือไม่ทุกข์สินะ นั่นก็คงจะหมายความว่า เมื่อไม่มีตัวตน สุขหรือทุกข์ก็กลายเป็นเพียงสมมุติงั้นหรือ
ย้อนกลับไปตอนที่ยังมีชีวิตปกติเด็กถึงก่อนแก่ เอ้อ มันก็ยาวนานกว่าใช่ไหม มันคือช่วงเวลาที่ควรกอบโกย "ความรู้สึก" ในการ "มีตัวตน" นั่นอาจบอกเราได้ว่า การมีความรู้สึกคือการมีชีวิตอยู่นั่นต่างหากคือของขวัญล้ำค่าในการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้หิวโหย ได้ปรารถนา มีความอยาก มีการบำเรอความอยากในรูปแบบต่างๆ อืม นี่มันลัทธิความสุขแบบปฏิเสธคำสอนให้ละกิเลสกันไปเลย คนเราต้องตอบสนองต่อความสุขจากความปรารถนา ต้องไขว่คว้าดิ้นรนเพื่อให้รู้สึกถึงการมีอยู่สินะ
ซึ่งดูเหมือนความคิดอันหลังจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกปัจจุบันที่ปรัชญาเก่าๆซึ่งเป็นเปลือกของศาสนาจะไม่ได้รับการยอมรับจากหลายๆคนอีกต่อไปแล้ว เรากำลังก้าวข้ามโลกใบเก่าที่เป็นโลกแห่งปรัชญาไปสู่ยุคบริโภค(กิเลส)นิยมกันใช่หรือเปล่านะ ในเมื่อผู้ศรัทธาในศาสนา (โดยเฉพาะคริสต์และพุทธ) กำลังเริ่มเดินห่างออกมาจากคำสอนเหล่านั้น แล้วเติมเต็มความสุขในโลกใบใหม่ที่กิเลสนั้นเหมือนหมอนนุ่มๆที่นอนดีๆ ท่ามกลางความเหนื่อยล้าของสังคมปัจจุบันที่ดูดพลังของมนุษย์ไปอย่างมากมาย
เกิดมาไม่กี่วันก็ต้องเก่งเลยเนอะ ต้องแข่งกันพูดได้ก่อน เดินได้ก่อน แล้วพ่อแม่ก็ประกาศลงโซเชียลมีเดียว่า "ลูกพูดได้เดินได้ไวมาก" จนทำให้พ่อแม่อีกส่วนที่ลูกๆมีพัฒนาการที่แตกต่างไปเริ่มเครียด เริ่มวางแผนจะพาลูกไปพบหมอ พบจิตแพทย์เด็ก พบมืออาชีพเรื่องพัฒนาการเด็ก จนถึงวันที่ต้องไปโรงเรียน สถานรับฝากเด็กเพราะพ่อแม่ต้องไปทำงาน เราก็เอาลูกไปฝากไว้กับคนแปลกหน้าตั้งแต่สองขวบกว่า แล้วก็แข่งกันเก่งกว่าต่อไปจนกว่าจะจบปริญญานั่นแหละ
โฆษณา