10 ส.ค. 2022 เวลา 03:21 • ความคิดเห็น
แม่ คือความภาคภูมิใจของผม
ผมกับแม่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กชั้นเดียวครึ่งปูนครึ่งไม้เก่าคร่ำคร่า หลังคาบ้านมุงด้วยสังกะสี ตัวบ้านมีอายุกว่า 40 ปีแล้วจึงชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
แม่ของผมเป็นภารโรงในโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่
ผมยังจำได้ดี วันแข่งกีฬาสีของโรงเรียน แม่อาสาไปช่วยยกพื้นเวทีจากห้องเก็บของนำไปวางกลางสนามฟุตบอล
แต่พื้นเวทีมีน้ำหนักมากเพราะทำจากเหล็ก จึงเกินกำลังของแม่ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กร่างผอมบาง ส่งผลให้กระดูกแขนท่อนล่างด้านซ้ายของแม่คดจนผิดรูป
โรงเรียนส่งแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลและกลับมารักษาตัวที่บ้านอีกสองเดือน แต่แขนซ้ายของแม่ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ สุดท้ายทางโรงเรียนจึงให้แม่ออกจากงาน
แม่บอกผมว่าถึงตกงานแต่แม่ไม่เคยท้อ แม่ทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหาเงินเลี้ยงดูและส่งเสียผมให้ได้เล่าเรียน จนกระทั่งยึดเอาอาชีพรับซื้อของเก่าเป็นอาชีพหลัก
ทุกวันแม่จะถีบรถสามล้อกระบะตระเวณไปตามแหล่งชุมชนเพื่อรับซื้อของเก่าแล้วเอาไปขายให้โรงงานอีกต่อหนึ่ง ถึงกำรี้กำไรจะไม่มาก แต่แม่สอนผมว่า ‘ถ้าเรารู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด มันก็พอนะลูก’
ทุกวันหยุด ผมออกไปรับซื้อของเก่ากับแม่ ทำให้ผมรู้ว่าแม่ต้องลำบากเพียงใดที่ต้องถีบสามล้อกระบะท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนเปรี้ยง เหงื่อของแม่ไหลออกมาจนเสื้อที่แม่ใส่เปียกชุ่ม ส่วนปากของแม่ร้องเรียกให้ชาวบ้านเอาของเก่ามาขายไม่หยุด “มีของเก่าเอามาขาย มีของเก่าเอามาขาย”
ผมอยากถามแม่ว่า แม่ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน ไม่แสบคอบ้างหรืออย่างไร? แต่ที่ผมสัมผัสได้ แม่ไม่เคยบ่นเรื่องเหล่านี้เลย สีหน้าของแม่ที่ร้องเรียกลูกค้าดูจริงจังและมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าดำคล้ำและหยาบกร้านเพราะตากแดดลมมาหลายปี
เมื่อซื้อของเก่าได้แล้ว ผมจะช่วยแม่ยกของที่ซื้อไว้บนสามล้อกระบะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เศษกระดาษ เศษเหล็ก ขวดพลาสติกและสายไฟเก่าๆ
บางชิ้นมีน้ำหนักมากจนเด็กวัยรุ่นอย่างผมต้องออกแรงสุดตัวกว่าจะยกมันขึ้นบนรถได้ มันชวนให้ผมนึกไปถึงวันที่ผมไม่ได้มาด้วย แม่ต้องยกของหนักอย่างนี้ด้วยมือขวาเป็นหลัก ส่วนมือซ้ายที่แม่ปวดอยู่เป็นประจำคงช่วยได้แค่ประคองเท่านั้น
‘แม่ต้องอดทนเพียงใดนะ?’ คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจของผม แต่พอไตร่ตรองดู ผมก็ได้คำตอบ เพราะแม่เคยบอกว่า ‘แม่ไม่เคยท้อ’
ครั้งหนึ่งเรามารับซื้อของเก่าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนไม่พอใจเสียงเรียกลูกค้าของแม่
“ป้า...ไปซื้อที่อื่นไป หนวกหูจริงๆ แถวนี้ไม่มีใครเขาเอาอะไรมาขายหรอก” หญิงกลางคนพูดกับแม่
“ขอโทษด้วยจ๊ะ ฉันขอโทษจริงๆ” แม่ขอโทษอย่างสุภาพ รีบถีบรถสามล้อไปทางอื่นไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองสักนิด
แต่บางคนนี่สิ ผมได้ยินแล้วรู้สึกโกรธแทนแม่ เพราะเขาพูดจาเหยียดหยามและดูถูกแม่เสียเหลือเกิน
“ป้า...ที่หมู่บ้านนี้เขาห้ามคนรับซื้อของเก่าเข้ามานะ” ชายคนหนึ่งตะโกนออกมาจากในบ้าน “ถ้ายังไม่รีบออกไปเดี๋ยวนี้ ผมจะให้ รปภ.มาไล่”
“ขอโทษด้วยจ๊ะ ป้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” แม่พูดอย่างสุภาพอย่างเคย เมื่อแม่มองมาที่ผมเห็นทำท่าฮึดฮัดจะตอบโต้ แม่กลับบอกผมว่า
“ไม่เป็นไรหรอกนัท เป็นสิทธิของเขาที่ไม่ให้เราเข้ามา ลูกไม่ควรไปโกรธเขา”
“แต่แม่ครับ เขาน่าจะพูดกับแม่ดีกว่านั้น”
“เราไปบอกให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยากทำ แต่เราเป็นนายความคิด ความรู้สึกของเราเอง ถ้าเราควบคุมมันได้ เราจะไม่โกรธเขาเลยลูก” แม่พูดกับผมด้วยเสียงอ่อนโยน จนผมจนใจที่จะโต้แย้งแม่อีก
ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่เป็นคนใจเย็นเหลือเกิน แถมมองโลกในแง่ดีอีกต่างหาก แม่ไม่เคยโกรธ ก่นด่า ให้ร้าย หรือตอบโต้ใคร
หลายปีมานี้ ผมออกมารับซื้อของเก่ากับแม่ทุกครั้งที่มีโอกาสจึงเห็นสิ่งเหล่านี้ทุกเมื่อเชื่อวัน นานวันเข้า สิ่งที่แม่ทำและคำสอนของแม่ มันซึมซาบเข้าไปอยู่ในตัวผมโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือแม้แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนจะรู้ดีว่าผมเป็นคนใจเย็น มองโลกในแง่ดีและไม่โกรธคนอื่น มีเพื่อนหลายคนแปลกใจ แต่ผมไม่บอกใครหรอกนะ ที่ผมเป็นคนอย่างนี้ได้ก็เพราะแม่ของผม
ผมไม่มีอะไรที่จะตอบแทนแม่ได้ดีไปกว่าการเป็นคนดีและตั้งใจเรียน ผมสอบเข้าเรียนในคณะเทคนิคการแพทย์ได้ โดยรับทุนของมหาวิทยาลัย เมื่อผมบอกแม่ แม่ยิ้มอย่างมีความสุขและลูบศีรษะผมเบาๆ
“นัท...แม่ดีใจที่ลูกมีความพยายามจนสอบได้ แต่แม่ขอเตือนลูก วันนี้ยังไม่ใช่ความสำเร็จนะ วันที่ลูกสำเร็จในความหมายของแม่ คือวันที่ลูกจบออกมาแล้วรู้จักใช้ชีวิตให้ดี โดยใช้วิชาความรู้นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย” แม่พูดและมองจ้องเขม็งที่หน้าของผม
“แม่หมายความว่าอย่างไรครับ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ผมเข้าใจว่าผมจบแล้ว ผมประกอบอาชีพเป็นนักเทคนิคการแพทย์ ผมจะหาเลี้ยงตัวเองและแม่โดยใช้อาชีพนี้ ทำแค่นี้เท่ากับเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้วใช่ไหมครับ?”
“คำว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มันไม่ได้มีความหมายแค่นั้นลูก” แม่พูดอย่างอ่อนโยน มองมาที่ผม “การประกอบอาชีพสุจริตหากินเลี้ยงปากท้อง เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว แต่มันเป็นเพียงประโยชน์ต่อตัวเองเท่านั้น ลูกจะทำประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่อลูกใช้อาชีพของลูกช่วยผู้อื่นอย่างจริงใจถึงที่สุดโดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน หรืออาจได้สิ่งตอบแทนบ้างแต่ไม่มากจนเกินไป
เช่น ลูกอาสาไปช่วยงานด้านการแพทย์ให้กับคนด้อยโอกาสในสังคมเป็นครั้งคราว หรือลูกเสียสละการทำงานสุขสบายในเมือง ออกไปทำงานช่วยเหลือคนไข้ในโรงพยาบาลชนบทที่ห่างไกลและขาดแคลนก็ได้”
“ผมพอเข้าใจแล้วครับแม่ ผมเชื่อที่แม่บอกครับ จริงครับ คนเราจะมีคุณค่าได้ ก็ด้วยการไม่เห็นแก่ตัวและพยายามช่วยเหลือทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น”
ผมฟังที่แม่พูดแล้ว รู้สึกภูมิใจในตัวแม่อย่างที่สุด แม่เรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลายแต่ไม่ได้เรียนต่อเพราะความยากจน แต่แม่กลับมีความคิดและอุดมการณ์ที่น่านับถือ แม้แต่ผมที่ได้เล่าเรียนมามากกว่า ผมยังสู้แม่ไม่ได้เลยสักนิด ผมจึงสงสัยว่าแม่ได้ความคิดนี้มาจากไหนกัน
“แม่ครับ แม่เคยเล่าให้ผมฟังว่า ตอนยังไม่มีผม คุณตาคุณยายยากจนมาก จนแม่ต้องไปขอยืมข้าวสารจากเพื่อนบ้านมาหุง ส่วนกับข้าวแม่ก็ต้องไปขอปันจากร้านขายผักที่ตลาด นานๆ ครั้งจึงจะมีเงินซื้อโครงไก่หรือเศษปลามาต้มกินบ้าง ขอโทษครับแม่ ผมสงสัยว่า แม่ลำบากขนาดนี้ ทำไมแม่ถึงมีแก่ใจคิดถึงการทำประโยชน์ให้กับคนอื่นหล่ะครับ?”
“ลูกแม่ มีเรื่องหนึ่งที่แม่ไม่เคยเล่าให้ลูกฟัง ลูกฟังแล้วก็จะเข้าใจเอง”
แม่เริ่มเล่าว่า ตอนแม่อายุเจ็ดขวบ แม่มีอาการโลหิตเป็นพิษ เพราะคุณตาคุณยายมีอาชีพทำนาและยากจนจึงไม่มีเงินพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด คราวใดที่อาการของโรคกำเริบ คุณตาคุณยายก็ได้แต่พาแม่บากหน้าไปขอรับการรักษาอย่างอนาถาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ
ทุกครั้งคุณตาคุณยายโดนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดุด่าว่ากล่าว โดนดูถูกว่ายากจนสารพัด กว่าที่แม่จะได้รับการดูแลจากหมอก็ต้องนอนรอหลายชั่วโมง แต่คุณตาคุณยายก็อดทนเพราะรักแม่มาก ท่านไม่อยากเห็นแม่เจ็บปวด แม่รักษาแบบอนาถาได้ไม่นานอาการของแม่แย่ลง
แต่โชคยังดี ตอนนั้นมีปลัดอำเภอมาตรวจเยี่ยมที่บ้าน เขาเห็นอาการแม่แล้วสงสาร จึงนำชื่อของแม่ไปแจ้งทางอำเภอเพื่อหาทางช่วยเหลือ
ประจวบเหมาะเวลานั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมาที่อำเภอของเรา นายอำเภอกราบทูลเรื่องของแม่ให้พระองค์ทราบ พระองค์ทรงเมตตารับแม่เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์
หลังจากนั้น แม่จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดนานหลายเดือน จนอาการทุเลาและรับการรักษาต่อที่บ้าน แม่แข็งแรงขึ้นจนหายดี นับตั้งแต่นั้นมา แม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์และตั้งใจว่าจะตอบแทนพระองค์ด้วยการทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้
แม่เล่าจบแล้วนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่จะจูงมือผมเข้ามาในห้องนอน แม่หยิบพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่อยู่ในกรอบรูปส่งให้ผม
“ดูที่ด้านหลังซิ อ่านออกเสียงด้วยนะ” แม่บอก
ผมพลิกดูที่ด้านหลังกรอบรูป จำได้ว่าเป็นลายมือแม่ ผมอ่านข้อความนั้น
“คนเรานี่การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมดาของสัตว์โลกถ้วนหน้า แต่ว่าชีวิตนี่เกิดมาทั้งทีให้ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด หมายความถึงเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นที่สุด และก็มีความกล้าหาญที่จะทำงานทุกอย่างอย่างภาคภูมิใจ ไม่สนใจกับคำติฉินนินทาใดๆ” อ่านจบแล้ว ผมเห็นที่ด้านล่างของข้อความเขียนว่า “พระราโชวาท ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗”
ผมนั่งลงที่เตียงข้างๆ แม่
“นี่เป็นคำสอนของพระองค์ท่าน ที่แม่มีไว้บูชา ทุกครั้งที่แม่หยิบพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านขึ้นมาดูและอ่านคำสอนนี้ แม่จะมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดอยู่เสมอ
แม่อยากทำประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ดีและมากที่สุดตามคำสอนของพระองค์ เหมือนที่แม่เคยได้รับความเมตตาจากพระองค์ท่าน แต่ด้วยกำลังกาย กำลังความรู้ของแม่ที่ด้อยนัก แม่จึงไม่สามารถทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้เท่าที่ควร แต่วันนี้แม่มีนัทแล้ว นัทจะรับปากแม่ได้ไหมว่านัทจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดและช่วยเหลือผู้อื่นเต็มกำลัง และแม่ขอให้นัทมีความกล้าหาญที่จะทำงานอาชีพของลูกอย่างภาคภูมิใจ”
“ครับ ผมรับปาก” ผมตอบแม่ น้ำตาผมซึมออกมา “ผมภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของแม่ครับและจะทำตามคำสอนของพระองค์ พระองค์เป็นแม่ของแผ่นดิน ผมก็เป็นลูกคนหนึ่งของท่าน ดังนั้นผมจะตอบแทนพระคุณของพระองค์และพระคุณของแม่ ด้วยการดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นตลอดไปครับ”
แม่พยักหน้าช้าๆ น้ำตาคลอ ผมเอามือกอดเอวแม่ แม่เอามือสองข้างโอบกอดผมไว้ ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากแม่ มันชุ่มชื้นหัวใจอย่างที่สุด...
โฆษณา