10 ส.ค. 2022 เวลา 22:18 • ปรัชญา
“ศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม“
พระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมนี้ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนของพระภิกษุที่มาบวช จำนวนนี้มันก็เป็นเหมือนปริมาณ ศาสนานี้เราไม่ได้วัดที่ปริมาณ เราวัดที่คุณภาพ ผู้ที่มาบวช บวชแล้วศึกษา ปฏิบัติและบรรลุกันกี่รูป อันนั้น เหมือนกับมหาวิทยาลัยนี้
เขาวัดที่จำนวนของบัณฑิตผู้ที่ได้จบปริญญา ถ้ามาเรียน ๑,๐๐๐ คน แล้วจบ ๓ คนอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าสถิติของมหาวิทยาลัยนี้ไม่ค่อยดี สอนแล้วมีนักเรียนปีหนึ่ง เรียน ๑,๐๐๐ คน แต่จบเพียง ๓ คน อย่างนี้ก็ได้แค่ .๓ เปอร์เซ็นต์ ก็แสดงว่าน้อยมาก ถ้ามาเรียน ๑,๐๐๐ คน แล้วจบ ๑,๐๐๐ คน นี้ จึงถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่เข้มข้น ที่สามารถผลิตบัณฑิตที่จะไปเผยแผ่ความรู้ให้แก่ผู้อื่นได้อีกทอดหนึ่ง
ศาสนาพุทธเรา ถ้าจะวัดเราจึงต้องมาวัดที่พระอริยบุคคลกัน เพียงแต่ว่าเราไม่มีเครื่องวัดกันนั่นเอง เพราะพระอริยบุคคลนี้ เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคลกัน เพราะมันเป็นเรื่อง “สันทิฏฐิโก” ผู้ปฏิบัติเท่านั้นถึงจะรู้ว่าตนเองได้เป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ คนอื่นนี้แทบจะไม่สามารถรู้ได้เลย
นอกจากว่าได้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว แล้วได้ไปสนทนาถามตอบคำถาม กับพระอริยบุคคลด้วยกัน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่า ผู้ที่เราสนทนาด้วยนี้เป็นพระอริยบุคคลหรือเปล่า เหมือนกับพวกที่จบปริญญาตรีนี้ ถ้าไปคุยกับผู้ที่จบปริญญาตรี ก็จะรู้ว่าเขาจบหรือไม่จบ เพราะเราสามารถถามคำถามสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีจะตอบได้เท่านั้น
ถ้าผู้ที่จบมัธยมนี้ ถามไปเขาจะไม่สามารถตอบคำถามของผู้ที่จบปริญญาตรีได้ ฉันใด พระอริยบุคคล เวลาสนทนาธรรมกับใคร ก็จะสามารถวัดได้ว่าบุคคลที่ตนเองสนทนาด้วยนั้น เป็นพระอริยบุคคลหรือไม่
นี่คือเรื่องที่เราไม่สามารถวัดกันได้ นอกจากมีโอกาสได้พบปะกัน เราจะวัดเราก็ต้องมีมาตรฐาน คือ เราก็ต้องเป็นพระอริยบุคคลก่อน เราจึงจะสามารถไปวัดผู้อื่นได้ว่า เขาเป็นพระอริยบุคคลหรือเปล่า
 
ดังนั้น ศาสนาของเราจะเจริญหรือเสื่อม บางทีเราก็ไม่รู้ เพราะว่าเราอาจจะไปวัดความเจริญของศาสนา อยู่ที่จำนวนของโบสถ์ของเจดีย์ของวัดวาอาราม ถ้ามีวัดวาอาราม มีโบสถ์สวยงาม มีเจดีย์สวยงาม มีกุฏิศาลาสวยงาม มีพระภิกษุมาบวชกันมากก็ตาม เราอาจจะหลงผิด ไปคิดว่าศาสนากำลังเจริญก็ได้ แต่อาจจะเป็นความเจริญภายนอก
ถ้าเป็นผลไม้ก็เหมือนกับเจริญที่เปลือก แต่เนื้ออาจจะไม่มีเลยก็ได้ หรือมีเพียงนิดเดียว เพราะเนื้อของศาสนาก็คือพระอริยบุคคลนี่เอง และการที่จะมีพระอริยบุคคลได้ก็ต้องมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มีการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง และการศึกษา การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เพื่อการหลุดพ้นนี้
ส่วนใหญ่จะต้องไปศึกษา ไปปฏิบัติกันอยู่ในป่าในเขากันเสียส่วนใหญ่ เพราะที่ตั้งของศาสนาที่แท้จริงนี้คือป่าเขานี้เอง ป่าเขาลำเนาไพร ในสมัยพุทธกาลนี้ พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกนี้ ท่านจะอยู่ตามป่าตามเขากัน ท่านจะศึกษา ท่านจะปฏิบัติตามป่าตามเขากัน ท่านจะไม่มาศึกษามาปฏิบัติในบ้านในเมืองกัน เพราะบรรยากาศของบ้านเมืองกับบรรยากาศของป่าเขานี้ไม่เหมือนกัน
เหมือนกับการปลูกข้าว ปลูกในที่มีน้ำมีดินดี กับปลูกที่มีน้ำน้อย มีดินไม่ดี ก็จะได้ผลไม่เหมือนกัน เช่น ปลูกข้าวบนเขานี้ จะได้ข้าวน้อยกว่าปลูกข้าวในที่ราบ ในที่ๆ มีน้ำสมบูรณ์ ในที่ๆ มีดินสมบูรณ์ ปลูกบนเขานี้ ดินไม่สมบูรณ์ น้ำไม่สมบูรณ์ จะได้ข้าวน้อย ฉันใด การปลูกการสร้างพระอริยบุคคลก็เหมือนกัน จำเป็นจะต้องไปปลูกไปสร้างในป่าในเขากัน
ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ ศึกษาประวัติของพระสงฆ์สาวก ศึกษาประวัติของพระพุทธศาสนานี้ เราจะเห็นว่าบรรดาพระอริยบุคคลทั้งหลายนี้ ศึกษาและปฏิบัติในป่าในเขากันทั้งนั้น ถ้าศึกษาในบ้านในเมือง พอถึงเวลาปฏิบัติ ก็ต้องไปปฏิบัติตามป่าตามเขา
ถ้าเราไปศึกษากับพระที่อยู่ตามบ้านตามเมือง เราก็จะได้ความรู้เพียงครึ่งเดียว เราจะรู้ทางสู่การหลุดพ้น แต่เราจะยังไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าเราปฏิบัติเอง เราก็จะปฏิบัติแบบผิดๆ ถูกๆ โอกาสที่จะบรรลุธรรมก็จะยากกว่า ถ้าเราได้ไปศึกษาจากพระอริยบุคคล และได้ไปปฏิบัติอยู่ในสถานที่ๆ พระอริยบุคคลแนะนำให้ไปปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าทุกรูป พระอริยสงฆ์ทุกรูปนี้จะสอนเหมือนกัน ถ้าอยากจะศึกษาปฏิบัติให้บรรลุธรรมนี้ จะต้องไปศึกษาปฏิบัติตามที่สงบ สงัดวิเวก ถ้าไปศึกษาปฏิบัติตามที่อึกทึกคึกโครม มีแสงสีเสียงที่มาคอยรบกวนใจ จะปฏิบัติไม่รู้เรื่อง จะศึกษาไม่รู้เรื่อง จะไม่สามารถเอาไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้หลุดพ้น ให้ได้บรรลุถึงพระนิพพานได้ ต้องไปศึกษาจากสถานที่ๆ สงบสงัดวิเวก แล้วปฏิบัติในสถานที่ๆ สงบสงัดวิเวก แล้วการบรรลุธรรมก็จะเป็นไปได้ตามลำดับอย่างแน่นอน
นี่ก็คือเรื่องราวของศาสนาที่พวกเราเคารพนับถือกัน เกิดจากพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ แล้วก็เอาธรรมที่ทรงรู้มาเผยแผ่สั่งสอน ให้แก่ผู้ที่สนใจ ผู้ที่สนใจเมื่อนำเอาไปศึกษา เอาไปปฏิบัติ ก็จะสามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
เมื่อหลุดพ้นแล้วก็สามารถถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าให้แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไปได้ ศาสนาจะอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ก็อยู่ที่การศึกษา อยู่ที่การปฏิบัติ และอยู่ที่การบรรลุธรรมนี่เอง เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็สามารถเผยแผ่ธรรมได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ถ้าไม่บรรลุ ก็จะเผยแผ่แบบผิดๆ ถูกๆ ผู้นำเอาไปปฏิบัติ
เมื่อไม่สามารถปฏิบัติได้ผล ก็จะเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย ก็จะเกิดความเสื่อมศรัทธาขึ้นมาได้ ดังนั้น ขอให้พวกเราให้เน้นอยู่ที่การศึกษา ที่การปฏิบัติ อยู่ที่การบรรลุธรรม
นี่คือหัวใจของศาสนา ถ้าเราอยากจะให้ศาสนาอยู่คู่กับโลกไปเรื่อยๆ เราต้องมาช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนา ทะนุบำรุงสนับสนุนการศึกษา การปฏิบัติ เพื่อให้มีการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมามาก เพื่อที่จะได้มีผู้ที่มาช่วยเผยแผ่สั่งสอนให้ผู้อื่นได้เรียนรู้ และได้ศึกษาและได้ปฏิบัติ ได้หลุดพ้นกันต่อไป
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๑
 
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา