11 ส.ค. 2022 เวลา 07:41 • ธุรกิจ
“เพศ” ถูกยึดโยงไปถึงบทบาทและหน้าที่ของบุคคลในสังคมมาอย่างยาวนานในหลากหลายมิติ แม้กระทั่งในโลกของการทำงาน ในอดีตที่ผ่านมา “เพศ” มีผลต่อ ผลตอบแทน ความก้าวหน้า และสวัสดิการ
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ให้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ โลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยอิทธิพลของผู้นำหญิงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นเพราะกระแสการเรียกร้องเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศเท่านั้น แต่ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้นำหญิงสามารถนำทีมและองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้เท่ากับหรือดีกว่าผู้นำชาย มิหนำซ้ำแนวโน้มประชากรและสภาพสังคมในอนาคตยังเอื้อให้ผู้หญิงได้มีโอกาสเป็นผู้เลือกและมีอิสระในการใช้ชีวิตรวมถึงการทำงานมากขึ้น
1. กระแสการเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
ความเท่าเทียมทางเพศได้กลายเป็นหนึ่งในคุณค่าที่สังคมยึดถือ การส่งเสริมโอกาสให้กับคนในทุกเพศสภาพยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนซึ่งองค์การสหประชาชาติมุ่งหวังให้ทุกประเทศทั่วโลกสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงทั้งในทางกฎหมายและทางสังคมภายในปี ค.ศ. 2030
ในบางประเทศ เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ หรือออสเตรเลียยังมีการศึกษาเพื่อเตรียมออกกฎหมายควบคุมสัดส่วนในตำแหน่งผู้บริหารองค์กรให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น การคาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. 2030 องค์กรทั่วโลกจะมีผู้นำเพศหญิงมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคโอเชียเนียซึ่งจะมีผู้นำหญิงระดับ C-suite เป็นสัดส่วนถึง 30% ของผู้นำทั้งหมด
2. ตัวเลขผลประกอบการธุรกิจ
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการมีผู้หญิงนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับ C-Level มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลประกอบการขององค์กร การมีผู้หญิงในสัดส่วน 30% ของบอร์ดบริหารสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของผลกำไรบริษัทถึง 15% เมื่อเทียบกับบอร์ดที่ไม่มีผู้หญิงเลย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการมีผู้บริหารหญิงอย่างน้อยหนึ่งคนในบอร์ดบริหารจะลดความเสี่ยงในการล้มละลายของธุรกิจได้ถึง 20%
3. ผลงาน การตัดสินใจ และบรรยากาศภายในทีม
จากการศึกษาพบว่า การมีผู้บริหารหรือพนักงานระดับสูงเป็นผู้หญิงช่วยส่งเสริมการมองภาพแบบองค์รวมมากยิ่งขึ้น สนับสนุนให้องค์กรเกิดการตั้งเป้าหมายระยะยาวและการตัดสินใจซึ่งส่งผลดีต่อความยั่งยืนในองค์กรทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม การบริหารจัดการ และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้ภายในองค์กรเห็นถึงความสำคัญของความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าผลการดำเนินงานขององค์กรภายใต้การนำของผู้นำหญิงดีขึ้นจริง เช่น ความคิดที่เปิดกว้างและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรและความร่วมมือ ความโปร่งใสในการบริหารงาน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการจัดการความสัมพันธ์ในองค์รวมขององค์กร เป็นต้น
4. แนวโน้มประชากรและพฤติกรรม
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรเกิดใหม่น้อยลง และคนให้ความสำคัญกับการแต่งงาน มีลูก และสร้างครอบครัวน้อยลง นั่นจึงทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่ได้มองการเป็นแม่บ้านเป็นเป้าหมายชีวิตอีกต่อไป ผู้หญิงมีมุมมองออกมาทำงานมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่ได้มีสวัสดิการรัฐที่ดีพอ ผู้หญิงในประเทศเหล่านั้นจะมีตัวเลขการเลือกเรียนและทำงานในสาขาวิชากลุ่ม STEM หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะให้ผลตอบแทนสูง ทำให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
นัยยะสำคัญที่มีต่ออนาคต:
- สินค้า บริการ และเศรษฐกิจเพื่อผู้หญิง (SHEconmy) จะเป็นการจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะและให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การส่งเสริมการใช้ชีวิตและการทำงานของเพศหญิงมากขึ้น
- ประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศจะกลายเป็นมาตรฐานจริยธรรมพื้นฐานและไม่เป็นข้อจำกัดด้านโอกาสหรือมิติต่างๆในสังคม
- ทางเลือกจะไม่จำกัดที่ “เพศ” ใด แต่จะขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นพื้นฐาน องค์กรหรือสถาบันที่ยังคงมีการจำกัดเรื่อง “เพศ” จะเป็นองค์กรที่ไม่ได้รับความนิยม หรือ อาจจะถูกบีบจากสังคมเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
อยากรู้จักเรามากขึ้น คลิก www.futuretaleslab.com หรือติดตามที่ https://www.blockdit.com/futuretaleslab
#FutureTalesLAB #FuturePossible #FutureUpdate #FutureofWork #WomenLeadership #MQDC
โฆษณา