14 ส.ค. 2022 เวลา 06:07 • ปรัชญา
◈ พระจูฬปันถกเถระ-เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ ◈
วันนี้ได้มีโอกาสอ่านคำเทศนาของหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง ซึ่งท่านได้กล่าวถึงบุคคลตัวอย่าง : พระจุลบันถก
*หมายเหตุ - ในคำเทศนานี้ท่านบันทึกชื่อไว้ว่า”พระจุลบันถก” แต่เมื่อนำไปสืบค้นเอตทัคบุคคล (ในศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้า)พบว่าบันทึกไว้ในชื่อ”พระจูฬปันถกเถระ” ซึ่งสะกดต่างกัน แต่เป็นเรื่องราวเดียวกัน จึงขอบันทึกต่อไปโดยใช้คำสะกดนามว่า ”พระจูฬปันถกเถระ”
หลวงพ่อฯท่านเทศน์ไว้ว่าอารมณ์เข้าถึงชั่วขณะหนึ่ง มันเหมือนกับของที่วางไว้ เราเดินไปพบแล้วกลับบ้าน การไปพบนิดหนึ่งนี่แล้วเราทำไม่เลิก จิตเบื้องปลายอาจเข้าถึงจุดนี้ได้ แต่ต้องทำจริงๆ
ท่านจึงกล่าวถึงบุคคลตัวอย่างคือ”พระจูฬปันถกเถระ”
โดยท่านเทศน์ไว้ว่า พระจูฬปันถกนี้ตามบาลีท่านบอกว่า สมัยดึกดำบรรพ นี่แสดงว่านานมาก ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ วันหนึ่งเลียบพระนครนั่งแคร่คานหามมันร้อน เหงื่อก็ไหล เอาผ้าเช็ดหน้าขาวๆ มาเช็ดเหงื่อแล้วก็ดำ
ท่านมาพิจารณาว่า 'ร่างกายของคนเราสกปรกขนาดนี้เชียวหรือ'
ให้ความรู้สึกแค่นั้นแล้วก็เลิกไปเลยนะ แล้วต่อมาอีกนับชาติไม่ถ้วนมาบรรลุเพราะกรรมฐานข้อนี้
อ่านสั้นๆย่อมเข้าใจได้ยาก เลยไปสืบค้นมา และพบว่าเรื่องราวของท่านน่าสนใจมาก สมควรบันทึกไว้เพื่อศึกษาและเจริญรอยตามท่านไป ดังนี้
፨፨፨፨፨
พระจูฬปันถก หรือ พระจูฬปันถกเถระ, พระจุลลปันถกะ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็น ๑ ในพระอสีติมหาสาวก(คือ พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์ของพระพุทธเจ้า)
พระจูฬปันถก เป็นน้องชายของพระมหาปันถก ท่านบวชตามการสนับสนุนของพี่ชาย เมื่อแรกบวชท่านเป็นคนมีปัญญาทึบมาก ไม่สามารถท่องมนต์หรือเข้าใจอะไรได้เลย จึงทำให้ท่านถูกพระพี่ชายของท่านขับไล่ออกจากสำนัก เมื่อพระพุทธเจ้าทราบความจึงได้ให้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านไปลูบ จนในที่สุดท่านพิจารณาเห็นว่าผ้าขาวเมื่อถูกลูบมีสีคล้ำลง จึงนำมาเปรียบกับชีวิตของคนเราที่ไม่มีความยั่งยืน ท่านจึงได้เจริญวิปัสสนาและบรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะสิ่งที่ท่านพบจากการลูบผ้าขาวนั่นเอง
เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เป็นเอตทัคคะในด้านชำนาญในมโนมยิทธิ
พระจูฬปันถก เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา) ปัญญาในการตรัสรู้คือภาวนามยปัญญา กล่าวคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงของโลกได้ด้วยตนเอง การท่องจำหรือเรียนหนังสือไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม
ประวัติ : ออกบวชเพราะพี่ชาย
พระจูฬปันถกะ เป็นน้องชายร่วมมารดาบิดาเดียวกันกับพระมหาปันถกเถระผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปก่อนหน้า พระจูฬปันถกได้เห็นพี่ชายมีแต่ผู้คนเคารพกราบไหว้ ดูแล้วอยากเป็นบ้าง จึงถามพี่ชายทำอย่างไรถึงมีผู้คนเคารพกราบไหว้ แล้วน้องจะเป็นได้ไหม พี่ชายจึงให้ออกบวช จากนั้นพี่ชายก็ขออนุญาตจากธนเศรษฐีผู้เป็นคุณตา ซึ่งก็ได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะคุณตาก็เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากอยู่แล้ว
ถูกไล่สึกโดยพี่ชาย
เมื่อท่านออกบวชพระพี่ชายของท่านได้สอนให้ท่องคาถาบทหนึ่งคือ
ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ ตปนุตมาทิจฺจมิวนฺตลฺเข ฯ
คำแปล: ดอกปทุมชาติที่ชื่อว่าโกกนุท ขยายกลีบแย้มบานตั้งแต่เวลารุ่งอรุณยามเช้า กลิ่นเกษร หอมระเหยไม่รู้จบเธอจงพินิจดูพระสักยมุนีอังคีรส ผู้มีพระรัศมีแผ่ไพโรจน์อยู่ ดุจดวงทิวากร ส่องสว่างอยู่กลางนภากาศ ฉะนั้น
ปรากฏว่าเวลาผ่านไปถึง ๔ เดือน ท่านก็ไม่สามารถท่องคาถาดังกล่าวที่มีเพียง ๔ บรรทัดได้ เพราะท่านเป็นคนปัญญาทึบมาก (ท่านกล่าวถึงตนเองเมื่อภายหลังว่า "เมื่อก่อน ญาณคติเกิดแก่เราช้า") จากการผลของกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต ท่านจึงถูกพระพี่ชายของท่านไล่ออกจากสำนัก (ในชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ มีสติปัญญาดีมาก ทรงจำพระพุทธพจน์ไว้ได้มากและแม่นยำ คราวหนึ่งได้ฟังพระปัญญาทึบรูปหนึ่งสาธยายพระพุทธพจน์ผิดๆ ถูกๆ แล้วหัวเราะเยาะ จนพระรูปนั้นอายเลิกท่องจำพระพุทธพจน์อีกต่อไป)
พระพุทธเจ้าโปรดพระจูฬปันถก-บรรลุอรหันต์
หลังจากท่านถูกพี่ชายไล่สึก ท่านมีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะยังมีความอาลัยในผ้าเหลือง จึงไม่ยอมรับแม้กิจนิมนต์ที่หมอชีวกโกมารภัจจ์นิมนต์พระ ๕๐๐ รูป เพื่อรับฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ท่านได้ไปยืนร้องไห้อยู่ที่ใกล้ซุ้มประตูวัดชีวกัมพวัน พอดีกับพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาเห็น จึงทรงเข้าไปถาม เมื่อทรงทราบความจึงได้ตรัสว่า "ท่านบวชพระเพื่ออุทิศพระพี่ชายที่ไหน ท่านบวชเพื่ออุทิศให้เราต่างหาก ท่านมาอยู่กับเราดีกว่า"
จากนั้นทรงลูบศีรษะและจับแขนพากลับเข้าวัดไปที่หน้าพระคันธกุฏี จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านพร้อมกับสั่งให้ท่านลูบผ้านั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับภาวนาว่า รโชหรณํ ๆ (อ่านว่า ระ-โช-หะ-ระ-นัง / แปลว่า ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่น)
ท่านลูบผ้าได้ไม่นาน ผ้าขาวนั้นก็หมองคล้ำลง ท่านจึงสติคิดได้ว่า "ผ้านี้แต่ก่อนก็ขาวบริสุทธิ์ แต่พอถูกลูบบ่อย ๆ ก็กลับดำ สรรพสิ่งมันช่างไม่ยั่งยืน" แล้วท่านจึงได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบกับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาในวันนั้นเอง แต่บางตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเล่าเรื่อง จูฬเศรษฐีชาดกให้พระจูฬปันถกเถระฟัง
แสดงฤทธิ์-ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ
เช้าวันต่อมาพระภิกษุ ๔๙๙ รูปพร้อมทั้งพระพุทธองค์เสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ พอหมอชีวกนำภัตเข้ามาถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงปิดบาตรและตรัสว่า "ยังเหลืออีกรูปหนึ่งในวัด"
หมอชีวกจึงใช้ให้คนไปนิมนต์ ปรากฏว่าคนนิมนต์เข้าไปวัดเห็นแต่พระสงฆ์นับพันที่พระจูฬปันถกเนรมิตด้วยฤทธิ์มโนมยิทธิขึ้นมา จึงกลับมา พระพุทธองค์จึงให้คนนิมนต์กลับไปบอกพระเหล่านั้นอีกว่า พระพุทธองค์เรียกพระจูฬปันถก เมื่อคนนิมนต์ไปที่วัดและเรียกเช่นนั้น ปรากฏว่าพระทุกรูปตอบว่าตนคือจูฬปันถกหมด คนนิมนต์จึงกลับมาอีก
คราวนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้คอยสังเกตว่ารูปไหนพูดก่อน ให้คว้ามือรูปนั้นไว้ ปรากฏว่าคนนิมนต์กลับไปทำเช่นนั้น พอจับมือพระจูฬปันถกตัวจริง พระที่ถูกเนรมิตรก็หายไปหมด จึงเป็นที่รู้กันว่าพระจูฬปันถกได้กลายเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาในครั้งนั้นเอง
ในวันนั้น พระพุทธองค์จึงทรงให้พระจูฬปันถกทำอนุโมทนาแก่หมอชีวก และด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงยกย่องให้พระจูฬปันถกเป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ
ท่านดำรงสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลก็ได้ดับขันธปรินิพพาน
บุรพกรรม
พระจูฬปันถก ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นน้องชายของกุฎุมพี ชาวเมืองหงสวดี (คือพระมหาปันถกในชาติปัจจุบัน) วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพี่ชายและพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในเจโตวิมุติ และด้านชำนาญในมโนมยิทธิ (การใช้ฤทธิ์ทางใจ) แล้วปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในเจโตวิมุติ และชำนาญในมโนมยิทธิ
เมื่อท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ในชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ มีสติปัญญาดีมาก ทรงจำพระพุทธพจน์ไว้ได้มากและแม่นยำ คราวหนึ่งได้ฟังพระปัญญาทึบรูปหนึ่งสาธยายพระพุทธพจน์ผิดๆ ถูกๆ แล้วหัวเราะเยาะ จนพระรูปนั้นอายเลิกท่องจำพระพุทธพจน์อีกต่อไป จากชาตินั้นท่านเวียน ว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ
จนมาถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านเกิดมาเป็นน้องชายของพระมหาปันถก ตอนบวชใหม่ๆ บาป กรรมที่เคยหัวเราะเยาะพระปัญญาทึบตามมาให้ผล โดยทำให้ท่านไม่ได้กัลยาณมิตรแนะนำการปฏิบัติธรรม จึงไม่สามารถท่องจำคาถาแม้เพียงบทเดียวได้ จนถูกพระมหาปันถกขับไล่ให้สึก
แต่ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เจริญกรรมฐาน จึงได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนา มาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วมีความชำนาญในการเข้าสมาธิ และชำนาญในการใช้ฤทธิ์ทางใจเนรมิตร่างกายท่านได้ตั้ง ๑,๐๐๐ ร่างในขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านชำนาญในการเข้าสมาธิ (เจโตวิมุติ) และชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ
โฆษณา