20 ส.ค. 2022 เวลา 15:00 • ไลฟ์สไตล์
สวัสดีค่ะ ถ้าไม่ง่วงวันนี้ขอเสนอตอน ไม่ง่วงเพราะไม่ได้นอน ก่อนอื่นเพจจะอัพเดท 1 โพสต์ในหนึ่งรอบศตวรรษ อ่ะ ล้อเล่ง!! แต่ก็มีความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง คือฉันเป็นคนไม่มีวินัย เอาเป็นว่าจะพยายามเขียนไว้ให้ตัวเองและคนที่เรารักอ่านก็ยังดี จะได้เตือนสติว่ากำลังทำอะไรอยู่ สาเหตุมีอยู่ว่าเราไม่ง่วง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาตี 2.35 เวลาประเทศไทย คืนของวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครั้งสุดท้ายที่อัพเดทไปคือตอนที่เราย้ายมาอยู่ที่ กทม. สดๆ ร้อนๆ แต่ทีนี้ตอนนี้เนี่ย อิฉันได้ออกจากงานประจำเป็นที่เรียบร้อย
ถ้าถามว่าออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ออกได้ประมาณ 20 วันได้ละแหละ เหตุผลคือตูเเเข็ดดดด!! หลาบบบ!!! จากงานประจำโพดดด งานหนักน่ะไม่ว่า แต่ที่ไม่ไหวมันคือเรื่องความเยอะ และการจัดสรรงานเกินความสามารถที่เราจะทำได้
เรื่องแรกคือเรื่องความเยอะ ก่อนอื่นต้องชี้แจงก่อนว่าคนทุกคนและการกระทำทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ อยู่ที่เราจะมองมันยังไง ดิฉันรับได้กับความละเอียด ความย้ำคิดย้ำทำอะไรก็ช่าง แต่รับไม่ได้กับการที่ถูกเอาเปรียบ เอาเปรียบในที่นี้คือการปลูกฝังให้รักองค์กร แต่องค์กรนั้นไม่ได้รักเราเลย การเสียสละเพื่อองค์กร แต่องค์กรได้เสียสละเพื่อเราบ้างมะ คิดว่าพนักงานบริษัทหลายๆ คนคงเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี
ดูหน้านู๋โด้ยย
สองคือเรื่องการจัดสรรงานเกินความสามารถ คือ งานที่เราได้รับมอบหมายไม่ได้มาจากคนๆ เดียว คือมันมาจาก 2 คน ลำพังคนเดียวก็จะแย่แล้ว แต่นี่มาถึงสอง งานเลขาเท่ากับ ขายของ เช็คสต๊อก ทำนัด ทำบัญชี ส่งของ ทำใบวางบิล ซื้อของ แปลเอกสาร ตอบแชท แปลในที่ประชุม แปลตอนสัมภาษณ์งาน ดูแลระบบลูกค้าสัมพันธ์ บลาๆ และต้องยังเป็นแอดมินในวันเสาร์ อาทิตย์ ง่ายๆ คือ สโคปงานเลขาคืออะไรฟะ ตอนแรกมันก็ไม่ได้มาทีเดียวหรอกค่ะ มันค่อยๆ เพิ่มมาทีละนิด พอรู้ตัวอีกทีก็บานเบอะ จนนึกถึงวลีเด็ด "ฉันนี่แหละค่ะประธานบริษัท"
นานวันเข้ามันทำให้เรารู้สึกซึมเศร้า รู้สึกไม่มีความสุขกับการที่ต้องตื่นไปทำงาน รู้สึกหมดไฟ เหมือนถ่านที่มอดหลังจากย่างหมูกระทะมาชั่วโมงครึ่ง จนนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้อิฉันตัดสินใจลาออกค่ะ !!! มันทำให้ตัวเองรู้สึกเข็ดมากกับการเป็นพนักงานประจำ เพราะโดนขโมยเอาเวลาไปหมดเลย และนั่นคงจะเป็นข้อดีที่ทำให้ตัวเราเองได้เริ่มทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเองจริงๆ
ช้าาานไม่สนพวกแกแล้ว
การกลับมาเป็นฟรีแลนซ์อย่างเต็มตัวในครั้งนี้ เพียงสัปดาห์แรกของการเริ่มทำงานคือไม่ได้นอนค่ะ เป็นสาเหตุที่ได้กลับมาเขียนบล็อกนี้ เวลาการนอนแปรปรวนมาก เนื่องจากงานที่เร่งรีบและต้องส่งให้ทันกำหนด ทำให้การนอนไม่ได้เป็นกิจจะลักษณะ บางวันโต้รุ่ง บางวันนอนแค่ 3-4 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ปกติหัวถึงหมอนคือหลับแล้ว แต่ ณ เวลานี้ในวันที่พยายามนอนเร็ว พลิกซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว นับแกะหมดทั้งฝูงก็แล้ว ตามันยังสว่าง เอาเป็นว่าจะพิมพ์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับคาโทรศัพท์ และจะตื่นมาพิมพ์ต่อให้จบ EP นะคะ
ตามันฉว่างประมาณนี้แหละ
สิ่งแรกที่เราทำหลังจากออกมาคือการอยู่กับตัวเอง ฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ ใน 1 วันมีใครได้อยู่กับตัวเองจริงๆ บ้าง การอยู่กับตัวเองในที่นี้ไม่ได้แปลว่าการทำในสิ่งที่เราชอบ แต่คือการคิดทบทวนกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ หรือเรียกว่าการทำความเข้าใจตัวเองนั่นเอง การมองตัวเองจากความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การมองอุปนิสัยของตัวเรา เช่น เราเป็นคนตื่นสาย เป็นคนไม่ชอบอาบน้ำ ไม่ชอบแต่งตัว เป็นคนหลายบุคลิก
ก็มันเพลียนี่หน่าาาา
จนไปถึงเราชอบทำอะไร อะไรที่เราไม่ชอบ เราถนัดอะไรบ้าง อะไรที่ชอบและถนัด อะไรที่ไม่ถนัดแต่ชอบ อะไรที่ชอบและทำให้มีรายได้ อะไรที่ชอบแต่ไม่สร้างรายได้ และนำทุกอย่างมาประมวลผล แน่นอนว่าความสุขในชีวิตของแต่ละคนก็ต่างกัน คนบางคนอาจจะมีความสุขที่ได้เอาชนะ ได้เป็นที่ยอมรับ และลิ้มรสชาติของความสำเร็จ แต่สำหรับใครอีกคนมันอาจไม่ใช่ ความสุขของใครบางคนอาจจะเรียบง่ายเพียงแค่การจิบกาแฟอุ่นๆ ในตอนเช้า ฟังเพลงที่เขาชอบ หรือความสุขของใครอีกคนอาจจะคือการได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
เดี๋ยวนู๋ช่วยก่อกวนค่ะ
อย่างที่เรารู้ๆ กันว่ากับดักของพนักงานประจำมันคือรายได้มั่นคงที่มีเพดาน ถ้าเราเริ่มจากศูนย์หรือติดลบ งานประจำคือจุดเริ่มต้น แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่พอมีโอกาส มีเงินเก็บอยู่บ้าง ออกมาทำเพื่อตัวเองกันเถอะค่ะ หลายๆ สิ่งที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะลงมือทำ คือความกลัวที่อยู่เบื้องลึกของจิตใจ คือเงื่อนไขที่เราสร้างขึ้นมาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น และหลายครั้งเราหวั่นไหวกับความคิดเห็นของคนรอบข้าง
สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อและมั่นใจอยู่เสมอคือไม่ว่าเราจะออกมาทำอะไร สิ่งๆ นั้นต้องเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี
ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำได้ดี แต่ยังได้ผลตอบรับที่ไม่ดี สิ่งที่เราต้องแก้คือองค์ประกอบภายนอก แต่ทีนี้แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันดีแล้ว ถ้าเป็นพ่อครัวก็คงต่องให้คนชิมเยอะๆ แล้วให้ผู้ชิมตอบอย่างไม่เกรงใจว่ารสชาติอาหารควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ถ้าเป็นนักเขียนก็ต้องถามบรรณาธิการหรือผู้อ่านว่าการเขียนลักษณะนี้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้หรือไม่ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และปรับปรุงอยู่สม่ำเสมอ
มาจ๊ะ ตำยั่วๆ
แน่นอนว่าในตลาดมีผักอยู่หลายชนิดและมีปลาอยู่หลายประเภท และนั่นคือองค์ประกอบภายนอก แม้การเสิร์ฟเนื้อไก่ดิบซาชิมิในร้านอาหารญี่ปุ่นยังมีคนต้องการลิ้มลองรสชาติความสดใหม่ของไก่ที่ถูกเลี้ยงมาด้วยอาหารแบบ organic โดยได้รับการเคลมว่าไม่มีกลิ่นคาว อาหารของพ่อครัวหรืองานเขียนของนักเขียนก็ต้องมีกลุ่มตลาดคนที่ชื่นชอบผลงานของเขา การที่เขาทำสิ่งนั้นออกมาได้ดีมันคือความยั่งยืนในอาชีพ แล้วมาต่อใน EP. ถัดไปนะคะ
โฆษณา