21 ส.ค. 2022 เวลา 03:12 • ความคิดเห็น
ชีวิตของคนเรา มันมีอารมณ์ อารมณ์อยากได้ อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีอารมณ์ที่พาไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยึดในสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต เมื่ออารมณ์นั้นพาไปยึด มันก็เกิดคิดทิฐิความคิดเห็น ปรารถนา อยากได้อยากมี อยากได้ แต่ก็ไม่ได้ดังใจหวัง ไม่สมหวัง เพราะมันมีอารมณ์อีกตัวหนึ่ง ที่คอยยุยงส่งเสริม ให้เราอยากเป็นอยากมี คืออารมณ์ของความทะเยอทะยาน ที่ส่งให้เราพยายามไขว่คว้า อยากนั้นอยากนี่ตลอดเวลา
มันคล้ายความโลภ เหมือนกัน ที่มีความอยาก มีความทะเยอทะยานไม่หยุดที่เกิดขึ้นในกาย เป็นอารมณ์ความคิด ที่ไม่เคยหยุดพักจนบางครั้ง ก็ทำให้เราเกิดเป็นทุกข์ ทุกข์กับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจทับถมจิต จนกลายเป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน ทุกข์กับสิ่งที่เราไม่ได้ดังปรารถนา
เมื่อสะสมมากเข้า อารมณ์เหล่านั้น ผิดหวังเสียใจ มีก็มากดทับจิต ถ่วงจิตจมลงไปๆ มองไปทางไหน เหมือนมันสิ้นหวัง เบื่อหน่าย ท้อแท้ ซึ่งเราราวอารมณ์เหล่านี้ มันก็ล้วนเกิดขึ้นมาที่กายของเรา คราวนี้จิตเราเป็นจิตดวงน้อยๆ เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิด เรื่องไม่สมหวัง ไม่ได้ดังใจ มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาแต่ละครั้ง มันก็เหมือนจิตเราถูกกด ให้จมลงๆไป
อารมณ์ที่เกิดขึ้น เค้าเรียกว่า อารมณ์กรรม เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็เหมือนเราไปเก็บสิ่งของมาแบก มันเป็นของหนักที่ทับลงไปที่กาย จิตก็ถูกทับไปด้วย จะขยันเขยื้อนกาย ก็เหมือนมันถูกตรึงถูกยึด วิญญาณทั้งหกก็ถูกตรึงด้วย ถูกกดด้วยอารมณ์เหล่านี้ เรื่องราวเหล่านี้ คนที่เค้ารู้จัก นำกายพ่อแม่ที่ให้มา นำไปสร้างทาน ทำบุญใส่บาตร ทำให้ถูกวิธี รวมทั้งการปฏิบัติธรรม ก็สามารถช่วยผ่อนคลาย ความทุกข์หรือสลัดอารมณ์กรรมนั้นออกไปได้
เมื่อเราสลัดอารมณ์ที่ทับจิตทับกายไปได้ กายเราก็จะเบา มีเรี่ยวแรงมีกำลัง ด้วยบุญกุศลที่เข้าหนุนนำกาย ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ไปพิจารณาดู เพราะชีวิตเค้าว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีวิบากกรรม ทั้งดีไม่ดี กุศลอกุศล เราก็มีสติปัญญา ก็เลือกเอาว่าจะทำแบบไหนดี ช่วยเหลือจิตของตนเอง
โฆษณา