23 ส.ค. 2022 เวลา 00:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
(มีสปอยเลอร์หนังชุด Breaking Bad และ Better Call Saul)
ครูสอนวิชาเคมีในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งชื่อ วอลเธอร์ ไวท์ พบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งปอด เขาไม่มีเงินรักษา หรือถ้าพอมี ก็ไม่อยากใช้เงินแบบนี้ เขามีครอบครัว มีเมียและลูกต้องเลี้ยงดู
1
ด้วยชะตากรรมที่เล่นตลก เขาพบทางสายใหม่ที่อาจจะแก้ปัญหาของเขาได้ นั่นคือผลิตยาเสพติดจำหน่าย
ณ จุดที่เขารู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว เขาก็เลือกเดินเข้าไปสู่โลกมืด
วอลเธอร์ ไวท์ เป็นคนเก่งและชาญฉลาด เขาทำยาเสพติดคุณภาพด้วยเครื่องมือของห้องแล็บโรงเรียนมัธยม
มันเป็นยาตัวใหม่ คุณภาพสูง ด้วยความช่วยเหลือจากลูกศิษย์เก่าของเขา เจสซี พิงค์แมน ทั้งสองก็สร้างอาณาจักรยาเสพติดขึ้นมา
วอลเธอร์ ไวท์ ก้าวลงไปในโลกมืด และถูกโคลนของโลกนั้นดูดลึกลงไปทุกที เขากลายเป็นคนโกหก อาชญากร และถึงจุดจุดหนึ่ง เขาก็กลายเป็นฆาตกร
เขาเปลี่ยนจากคนดีเป็นคนเลว
สำนวนสแลงเรียกว่า break bad
2
นี่ก็คือหนังซีรีส์โทรทัศน์ชุด Breaking Bad ของ Vince Gilligan และนักเขียนบทดรีมทีมกลุ่มหนึ่ง
Breaking Bad ไม่ใช่แค่หนัง มันเป็นปรากฏการณ์ Breaking Bad ไม่ใช่เพียงภาพยนตร์ มันคืองานศิลปะ
1
ผ่านไป 5 ซีซั่นและรางวัลนับไม่ถ้วน Breaking Bad กลายเป็นซีรีส์คลาสสิกขึ้นหิ้ง มันเซ็ตบาร์ระดับสูงกว่ามาตรฐาน หลังจากนั้นก็เกิดหนังภาคต่อเรื่อง El Camino: A Breaking Bad Movie ซึ่งสู้ภาคหลักไม่ได้ และตามมาด้วยซีรีส์แตกหน่อ (spin-off prequel) ชื่อ Better Call Saul ............
สำหรับ Better Call Saul ซึ่งเล่าเรื่องราวก่อนไทม์ไลน์ของ Breaking Bad เป็นมากกว่าปรากฏการณ์ การสร้างหนังภาคก่อนหน้าโดยที่ผู้ชมรู้ตอนจบมาก่อน และการสร้างหนัง spin-off จากงานที่ถือว่าดีเลิศนั้น
คนในวงการมองว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เหมือนครั้งที่ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ประกาศสร้าง The Godfather Part 2 แต่ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้ง ซีรีส์ Better Call Saul ได้รับการยกย่องว่าทำได้เหมือนกับที่ The Godfather Part 2 เคยทำ
1
มันดีไม่แพ้ Breaking Bad บางคนเชื่อว่ามันดีกว่าด้วยซ้ำ
พวกเขาทำได้อย่างไร? เราไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร แต่เรารู้ว่าพวกเขาไม่ทำอะไร
ดรีมทีมไม่ทำ 5 สิ่งนี้ :
  • 1.
    ขี้เกียจ หากินด้วยพล็อตเก่าๆ ก็แล้วกัน
  • 2.
    มักง่าย คิดใหม่ทำไมให้ปวดหัว มันก็แค่หนังทีวี
  • 3.
    รีเมก พล็อตเก่าๆ พิสูจน์มาแล้วว่าเวิร์กแน่นอน
  • 4.
    เดินซ้ำรอยเดิม ใช่ ใช่ “เพราะคนดูชอบอย่างนี้”
  • 5.
    ไม่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เอิ่ม! คำนี้แปลว่าอะไรนะ?
1
ตลอดห้าซีซั่นของ Breaking Bad ผู้สร้างฉีกแนวทดลองตลอดเวลา เริ่มต้นอาจจะเฉื่อยไปบ้าง เพราะกำลังอยู่ในช่วงจับทาง แต่ในที่สุดคนสร้างก็พบเคล็ดวิชาการเล่าเรื่องมรรคาใหม่ ทำให้ Breaking Bad มีวิธีการเล่าเรื่องที่ต่างจากหนังซีรีส์ทั่วไป และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
จนเมื่อพวกเขาสร้าง Better Call Saul พวกเขาพร้อมกว่า และฝีมือของพวกเขาก็สูงกว่าเมื่อครั้งเริ่มทำ Breaking Bad
ดรีมทีมแหกกฎทุกข้อของการสร้างหนัง ไม่เดินเรื่องตามขนบ ไม่เล่าเรื่องทั้งหมด หรือทำให้เป็นงานคอลลาจ ให้คนดูไปต่อเรื่องเอาเอง ฯลฯ
Breaking Bad & Better Call Saul เป็นบทพิสูจน์ว่าพลังความคิดสร้างสรรค์สามารถไปไกลเพียงไร และ minimalism ในหนังให้พลังขนาดไหน
1
ลองดู Better Call Saul แต่ละตอน เราจะมองเห็นความประณีต ความทุ่มเท ไม่ได้แตกต่างจาก ดา วินชี กำลังวาด Mona Lisa หรือไมเคิลแองเจโลสลักรูปปั้นเดวิด
หนังสองชุดนี้ก้าวพ้นกรอบทุกชนิด เนื้อเรื่องมีความใหม่สด กล้าทดลองของใหม่ ทำให้มันก้าวพ้นขอบเขตของหนังโทรทัศน์โดยสิ้นเชิง จุดเด่นของหนังสองชุดนี้คือ มันเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายมหาศาล detail detail detail! ผูกร้อยเข้าด้วยกันโดยไร้รอยตะเข็บ ตัวละครมีความลึก มีมิติ มีพัฒนาการ และกระทบใจผู้ชม
3
ดรีมทีมสร้างสองสิ่งใหม่
1 วิธีการเล่าเรื่อง
ดรีมทีมฉีกตำราการเล่าเรื่องตามขนบ มีการใช้คอลลาจในการเล่าเรื่อง ซึ่งกลายเป็นลายเซ็นของดรีมทีมไปแล้ว
1
ยกตัวอย่าง เช่น ตอนดอกไม้สีน้ำเงินกลางทะเลทราย (Rock and Hard Place) ในชุด Better Call Saul ฉากเปิดเรื่องถือเป็นเรื่องเอกเทศจากตัวหนังหลัก เหมือนเราดูประติมากรรมสองชิ้นที่อยู่คนละห้อง แล้วเชื่อมกันเองหลังจบตอน และเข้าใจสาระที่เรื่องต้องการเสนอ มันเป็นวิธีการนำเสนอที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เราไม่พบกลวิธีแบบนี้ในหนังทั่วไป
2 การทำให้งานเล่าเรื่องเป็นศิลปะ
เมื่อเราวัดคุณค่าของหนังเรื่องหนึ่ง หลายคนอาจมองที่พล็อตเรื่อง ถ้าพล็อตสนุกและมีสาระ ก็ถือว่าหนังทำได้เยี่ยม คนดูก็พอใจแค่นั้น แต่หนังสองชุดนี้ไม่ได้แค่เล่าเรื่อง หากทำให้มันเป็นศิลปะด้วย มันเป็นการเสพอาร์ตและเรื่องพร้อมกัน
ประหนึ่งเราดูรูป Mona Lisa ของ ดา วินชี หรือ The Starry Night หรือ The Starry Night Over The Rhone ของแวนโก๊ะห์ ที่มีเนื้อเรื่องแปะมาด้วย
การแต่งพล็อตเรื่องซับซ้อนและสนุก ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก แต่การแต่งพล็อตเรื่องซับซ้อน สนุก มีสาระ และเป็นอาร์ตนั้นยากกว่ามาก
2
เวลาพูดถึงอาร์ต ผมไม่ได้หมายถึงการถ่ายภาพสวยๆ แต่คือการออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องอย่างเป็นศิลปะ และสื่อสาระของเรื่อง โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ และเหมือนงานศิลปะชั้นดีทั่วไป
มันเป็นงาน minimalism ยกตัวอย่าง เช่น การต่อจานที่แตกในตอนที่ วอลเธอร์ ไวท์ ฆ่า Krazy- 8 เป็นงานออกแบบภาพและเรื่องกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ในฐานะทั้งคนออกแบบและนักเขียนชุด a day (หนึ่งวันเดียวกัน) ผมบอกได้ว่างานแบบนี้คิดยากอย่างยิ่ง
ทั้งสองข้อนี้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มอัตรา นี่คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ชั้นสูงที่พบได้ยากในโลกโทรทัศน์ อาจเหนือกว่าโลกหนังจอใหญ่เสียอีก การสร้างหนังแบบนี้จะอยู่ในตำราเรียนวิชา filmmaking แน่นอน
จักรวาลของ Breaking Bad และ Better Call Saul เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลงของคน และผลที่ตามมาของการเลือก ครูดีๆ กลายเป็นพ่อค้ายาเสพติด คนที่อยากเป็นทนายความดีกลายเป็นทนายความเลว ตำรวจดีกลายเป็นมือปืนรับใช้โจร มันคือการเปลี่ยนแปลงของคน และทางเลือก
เป็นหนังชุดที่สร้างตัวละครซับซ้อน มีมิติหลากหลายที่สุดชุดหนึ่งในจักรวาลของหนังโทรทัศน์
แม้แต่ตัวละคร ‘เลว’ ก็ยังมีความลึก และมีเลือดเนื้อ คนร้ายไม่ได้ร้ายทุกเรื่อง ยกตัวอย่างตัวละคร เช่น Mike Ehrmantraut มีด้านดีและเลว ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น แต่ก็รักหลานสาวสุดหัวใจ และมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ
ผู้เขียนบทขยันคิดรายละเอียดที่สร้างสรรค์และสนุก มีลูกเล่นแพรวพราว เช่น ฉากแมลงวันในซูเปอร์แล็บ ฉากตัวละคร Tortuga ถูกตัดหัววางบนหลังเต่า (Tortuga แปลว่าเต่า) ตัวละคร Hector Salamanca ใช้นิ้วจิ้มกระดิ่งแทนการพูด ฯลฯ
และที่สำคัญ มันยังสามารถสะท้อนสังคม การเล่นประเด็นต่างๆ เช่น เรื่องศีลธรรม ความแตกต่างทางชนชั้น ชีวิตของคนชั้นล่าง เช่น ในตอน Peekaboo เจสซี พิงค์แมน ไปตามหายาที่ถูกสามีภรรยาขี้ยาคู่หนึ่งจี้ไป และพบตู้เอทีเอ็มที่ขโมยมากับเด็กชายคนหนึ่ง ในฉากเดียว หนังสะท้อนภาพชีวิตคนในระดับล่าง emotion โดยไม่ต้องบรรยาย
ตัวละคร วอลเธอร์ ไวท์ เลวร้ายจน George R.R. Martin ผู้แต่งเรื่อง Game of Thrones บอกว่า "ไอ้นี่เลวร้ายกว่ามารร้ายทุกคนในเวสเทอรอส"
แล้วพูดต่อว่า "สงสัยกูจะต้องทำอะไรสักอย่างบ้างว่ะ" ว่าแล้วเขาก็ไปสร้างตัวละครร้ายๆ เพิ่ม
Breaking Bad ฉายภาพความเปลี่ยนแปลงของคนคนหนึ่ง จากคนดีสู่คนเลว จากคนเลวสู่จอมมาร แม้ วอลเธอร์ ไวท์ จะหาเงินมากเกินพอความจำเป็นแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมหยุดทำเรื่องร้าย “I’m not in the meth business. I’m in the empire business.”
ในท้ายเรื่อง Breaking Bad วอลเธอร์ ไวท์ ยอมรับกับภรรยาว่า เขามีความสุขกับการทำเรื่องเลวร้าย เขาทำเรื่องเลวร้ายเพราะเขาทำมันได้ดี เขาทำเรื่องร้ายๆ เพื่อตัวเขาเอง และความเลวร้ายกลายเป็นอีโก้ของเขา “Say my name.”
เมื่อใครคนหนึ่งกระทำเรื่องเลวร้ายยิ่งยวด เรามักโทษสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู เราโทษสิ่งชั่วร้ายรอบตัวเรา เราดูหนังรุนแรงจึงกลายเป็นคนรุนแรง ฯลฯ แต่เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนมืด มากหรือน้อย จนเราจำเป็นต้องสร้างระบบศีลธรรมเพื่อกลบหรือลบด้านมืดของเรา
บางทีสิ่งชั่วร้ายไม่ได้เปลี่ยนใครคนหนึ่ง มันเพียงแต่เผยตัวตนที่แท้จริงของเขาต่างหาก
11/10
Netflix
โฆษณา