24 ส.ค. 2022 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
5 กฎการลงทุนเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
“ตลาดหุ้นตกหนัก” เป็นคำพูดที่ไม่มีใครอยากฟัง แต่ไม่ใช่กับเซียนหุ้นระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ด้วยแนวทางการลงทุนในหุ้นแบบเน้นคุณค่าที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน และก้าวผ่านภาวะวิกฤติไปได้ทุกครั้ง
แม้ช่วงก่อนหน้านี้จะมีเซียนหุ้นในต่างประเทศหลายคนที่เตือนว่าเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่วิกฤติ แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นก็เริ่มฟื้นขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าวิกฤติจะเกิดขึ้นตอนไหน วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาเตรียมตัวรับมือเมื่อตลาดหุ้นตกหนักกันครับ
📖 5 กฎการลงทุนเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
✏ 1. หลีกเลี่ยงการขายหุ้นบริษัทชั้นดีในภาวะวิกฤติ
ถ้าเรามีของดีอยู่ในมือ ทำไมถึงต้องยกให้คนอื่นล่ะ เว้นแต่ว่าเราอยากจะแบ่งปันคืนสู่สังคมบ้างอันนี้ไม่ว่ากันครับ แต่เรื่องนี้เอาไปใช้ได้กับการถือหุ้นชั้นยอดในภาวะวิกฤติ
ในช่วงเวลาที่ราคาหุ้นตกต่ำมากจนเรารู้สึกไม่อยากเปิดดูพอร์ตการลงทุนของตัวเอง มันดูไม่มีเหตุผลเลยที่จะขายหุ้นชั้นยอดของเราในราคาถูกมาก ๆ ให้กับนักลงทุนคนอื่น
คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้าเราซื้อบ้านหลังนึงในราคา 20,000 ดอลลาร์ อยู่ดี ๆ วันนึงมีคนมาขอซื้อที่ราคา 15,000 ดอลลาร์ คุณจะยอมขายมั้ย ?
แน่นอนว่าคงไม่มีใครยอมขายแน่ ถ้าต้องขาดทุนขนาดนั้น แต่นั่นเป็นเพราะเรารู้ว่าบ้านหลังนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่ การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกัน เราควรจะรู้มูลค่าของหุ้นตัวนั้นก่อนที่จะขายมันไป
✏ 2. ตลาดหุ้นตกต่ำรุนแรง คือ โอกาสครั้งใหญ่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
การมองโลกในแง่ร้ายและความหดหู่ของเหล่านักลงทุน หากก่อตัวรวมกันมากเข้าถึงจุดหนึ่งอาจทำให้หุ้นตกหนักรุนแรงได้ และนั่นคือโอกาสอันงดงามในการเข้าซื้อหุ้นของวอร์เรน บัฟเฟตต์
ซึ่งมันมีไม่บ่อยนักที่ตลาดหุ้นจะทิ้งดิ่งมากกว่า 30% หากเราย้อนอดีตกลับไปราว 20 ปี จะพบว่ามีเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่ตลาดหุ้นตกรุนแรงระดับหายนะ คือ ปี 2000 เกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอม ปี 2008 เกิดวิกฤติซับไพรม์ และ ปี 2020 เกิดวิกฤติโควิด 19
แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ เขาจะเข้าไปซื้อหุ้นจำนวนมากและลงทุนอย่างหนักเสมอ เพราะเขาคิดว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวและสามารถหาทางแก้ไขได้
✏ 3. ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เรามีความเข้าใจ
ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกหนักทั่วโลก ราคาหุ้นหลายตัวมีแนวโน้มจะลงมาซื้อขายกันในราคาที่ถูกกว่าปกติมาก แต่การซื้อหุ้นราคาถูกอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ
เพราะหุ้นบางตัวที่เราคิดว่าราคาถูกมากแล้ว อาจมีถูกกว่านั้นได้อีก เพราะบริษัทนั้นอาจมีความเสี่ยงจะล้มละลายในอนาคต สิ่งที่ควรทำในช่วงตลาดหุ้นตกหนัก คือ การเลือกลงทุนในหุ้นชั้นยอดที่ขายในราคาถูกและเราเข้าใจธุรกิจดีพอ
✏ 4. ลงทุนในหุ้นชั้นยอดเท่านั้น
ในการลงทุนช่วงแรก ๆ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาเน้นใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ “ก้นบุหรี่” (Cigar Butt) ความหมายของมัน คือ การเฟ้นหาหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ๆ แล้วรอให้ราคาหุ้นฟื้นตัวกลับมาในระดับปกติ
แม้อาจดูเหมือนเป็นวิธีที่ดี แต่วิธีนี้มันให้ผลตอบแทนได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เหมือนกับก้นบุหรี่ที่เหลือให้สูดได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้งไป สิ่งที่ต้องระวัง คือ ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นธุรกิจพอใช้ได้ทั่วไป บางครั้งราคาหุ้นอาจจะไม่ฟื้นกลับขึ้นมาอีกเลย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “ผมยอมซื้อหุ้นชั้นยอดในราคาทั่วไป ยังดีกว่าซื้อหุ้นพอใช้ได้ทั่วไปในราคาถูก ๆ” และเหตุผลของประโยคนี้ซ่อนอยู่ในข้อถัดไป
✏ 5. ลงทุนระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ
“เวลา” คือ เพื่อนที่ดีที่สุดของการลงทุนในหุ้นชั้นยอด เพราะมีแต่ธุรกิจที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเติบโตได้ต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอกับนักลงทุนระยะยาว
ในทางตรงกันข้าม “เวลา” จะกลายเป็นวายร้ายทันที ถ้าเราลงทุนในหุ้นยอดแย่ที่อาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในบางครั้ง แต่ระยะยาวแล้วมันไม่สามารถทำให้นักลงทุนรวยได้เลย
อ้างอิง
รวมคลิปสัมภาษณ์ วอร์เรน บัฟเฟตต์
"เพราะการเงินเป็นเรื่องของทุกคน"
พวกเรากลุ่มคนที่รักเรื่องราวของการเงินการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ จึงก่อตั้งเพจ Dime! (ไดม์!) ขึ้น
Dime! แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์ (ประมาณ 3 บาท) สื่อถึงความตั้งใจของเราที่จะทำให้การเงินการลงทุนเป็นเรื่องที่คุณเข้าถึงได้ เข้าใจง่าย และนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้จริง เหมือนกับเงิน 1 ไดม์ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
หากทุกคนมีความรู้ทางการเงินที่แข็งแรง
สังคมของเราก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
โฆษณา