24 ส.ค. 2022 เวลา 12:55 • ธุรกิจ
เป็นหนี้ 40 ล้าน เพราะไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อแม่ของสโนได้เริ่มเปิดกิจการ รับซื้อพืชผลทางการเกษตร ที่เรียกกันว่า ลานมัน การเป็นเจ้าของกิจการระดับนี้ ก็ต้องมีการหมุนเวียนเงินสดในระบบมากกว่า 20 ล้านบาท/เดือน เป็นเรื่องปกติ
ด้วยความที่พ่อแม่ ขยับจากการเป็นเจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้า และ รับจ้างบรรทุกสินค้าประเภทไม้สับ น้ำขวด และสินค้าอื่นๆ ด้วยรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ คู่ใจ ด้วยความที่พ่อและแม่ทำธุรกิจประเภทนี้มานานมากกว่า 15 ปี ก็ย่อมที่จะสร้างผลกำไรและมีเงินเก็บได้แบบไม่เดือดร้อน เพราะรู้และปิดช่องโหว่ทั้งหมดได้แบบสบายๆ
แต่...พ่อก็ตัดสินใจชวนแม่ไปประกอบธุรกิจใหม่ ซึ่งก็คือลานมัน โดยตนเองไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มากมายนัก ประกอบกับความรู้ด้านการเงินก็น้อยมาก เรียกได้ว่า คนอื่นบอกอะไรเชื่อเขาหมด ในช่วงแรกผลกำไรก็งอกงามอย่างที่สุด ด้วยทำเลที่ดีมาก และการเปิดลานที่มีขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ทำให้เป็นที่จับจ้องของทุกคน
จุดพลิกผันมันอยู่ที่นี่ พนักงานธนาคารที่ต้องการสร้างผลงาน ปล่อยกู้วงเงินสูงๆ ได้มาเจอพ่อกับแม่ ที่มีเงินหมุนเวียนมากกว่า 10-20 ล้านบาท/เดือน ก็เข้ามานำเสนอสินเชื่อวงเงินกู้ระยะยาว และวงเงินเบิกเกินบัญชี หรือ Over Draft (OD) วงเงินกู้ระยะยาวมีมูลค่าเพียง 20 ล้านบาท แต่วงเงินเบิกเกินบัญชีมีมากถึง 30 ล้านบาท
ด้วยความที่ทั้งสองคนไม่มีความรู้ทางการเงิน ไม่รู้จักการทำบัญชี ไม่เคยคิดที่จะวางแผนภาษี และไม่คิดที่จะเติบโต พวกเขาจึงไม่ได้เดินหน้า แต่กลับเดินถอยหลัง ไปไกลกว่าจุดเริ่มต้น ที่เริ่มมาด้วยซ้ำ
เมื่อไม่มีความรู้ทางด้านบัญชี ก็ไม่ต้องพูดถึงความรู้ทางด้านการเงิน พ่อแม่ใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี หรือ OD ไปกับการซื้อมันสำปะหลังมาตากแห้ง และเก็บสต็อกไว้มากกว่า 6 เดือน เงินจำนวนกว่า 20 ล้านหายวับไปกับตา พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล ที่เกิดขึ้น หนำซ้ำพ่อแม่ยังไม่มีความเข้มงวด ในการควบคุมการทำงานของลูกจ้าง และปล่อยปละละเลยการทำบัญชี ผลที่ได้จึงเกิดการขาดทุนจำนวนมาก ที่เกิดจากลูกจ้างโกง และ การใช้เงินไม่ถูกวิธีอีกด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่สโนยังเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย
ในตอนนั้นก็ไม่รู้วิธีแก้ไข และการใช้เงินกู้ในรูปแบบต่างๆเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เราได้เรียนรู้และทราบถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้น
การแก้ไขปัญหากรณีนี้ คือการเรียนรู้และทราบลักษณะของโครงสร้างทางการเงิน และ การประกอบกิจการที่เป็นระบบบัญชีเดียวตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ สโนขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
1. ศึกษารูปแบบการทำกิจการที่ต้องการไปลงทุน ให้รู้รอบ และรู้ลึก มากที่สุด เช่น การเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง คุณต้องรู้ว่าคุณต้องขายให้ใคร ซื้อของมาจากไหน ต้นทุนทางตรงและทางอ้อมคืออะไร คู่แข่งเป็นใคร ความเสี่ยงในการมีผู้เล่นหน้าใหม่มากน้อยแค่ไหน และสภาพตลาดเป็นอย่างไร
2. ศึกษาการทำบัญชี และ ประเภทของเงินตรา สิ่งที่ควรรู้เป็นพื้นฐานเลยคือ การทำบัญชีรับ-จ่าย ประเภทของเงินกู้ รูปแบบของค่าใช้จ่าย และหาสำนักงานบัญชีเตรียมไว้ด้วย เพราะยังไงถ้าคุณอยากเติบโตก็ต้องใช้เขาอยู่ดี
3. ศึกษารูปแบบการทำงานของที่ร้านคุณ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไป หรือการจัดการแบบไหน และสัญญาจ้างสำหรับพนักงานเป็นสิ่งที่ควรมี เพื่ออุดช่องโหว่ที่จะเป็นปัญหาได้ในอนาคต ยกตัวอย่าง การเปิดร้านขายของชำ การที่แยกแผนกจัดสินค้า แผนกขายสินค้า และการนำส่งเงินของเซเว่น-เอเลเว่น มีความลับซ่อนอยู่
เพราะพวกเขามีวิธีการตรวจสอบกันเอง และเมื่อถึงรอบที่ต้องตรวจนับสินค้ารอบใหญ่ จะมีทีมจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง หากมีการทุจริตเกิดขึ้น สัญญาจ้างคือเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถลงโทษ หรือเรียกเงินคืนจากคนที่ทุจริตได้เต็มจำนวน และสามารถบังคับใช้กฎหมายได้แบบ 100%
4. นำส่งเงิน และทำบัญชีเดียวเพื่อส่งงบที่ถูกต้องให้กับกรมสรรพากร ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าคุณส่งรายได้ตรง คุณจะสามารถอวดรวยได้แบบไม่ต้องกลัวสรรพากรโทรตามให้ไปชี้แจงรายละเอียดอย่างแน่นอน
5. วางแผนถึงเป้าหมายของร้านค้าของคุณว่าต้องการเติบโตไปแค่ไหน และอะไรที่คุณต้องการจะเป็นในช่วงบั้นปลายชีวิต ว่าคุณอยากมีชีวิตแบบไหน ซึ่งจากการที่เราทำงานรับช่วงต่อจากพ่อแม่ เราไม่ได้มีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของลานมัน เพราะเราไม่ถนัดและขี้เกียจเกินกว่าจะเป็นเจ้าของกิจการประเภทนี้ ดังนั้น คุณไม่ต้องคิดไปถึงการยกมรดกเป็นกิจการให้บุตรหลานรับช่วงต่อก็ได้ เพราะมีบริษัทไม่ถึง 5% ในโลกนี้ที่ดำเนินกิจการด้วยคนในครอบครัวแบบรุ่นสู่รุ่นได้ยั่งยืนเกิน 100 ปี
ยกตัวอย่าง
ลูกค้ารายหนึ่งของที่ร้านวัสดุก่อสร้าง สโนได้เจอกับลูกค้าชาวต่างชาติ ที่ทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิต และเกษียณตัวเองในวัย 50 ปี ย้ายมาอยู่เมืองไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว เขาทำธุรกิจและวางแผนว่าจะเก็บเงินและย้ายมาอยู่เมืองไทย แบบสบายๆ ด้วยการทำธุรกิจในช่วงวัย 20-50 ปี
จากตัวอย่างด้านบน ลูกค้าท่านนี้ บอกว่าลูกของเขามีทางเดินและความฝันของเขาเอง ไม่มีใครอยากรับช่วงต่อจากพ่อแม่ เขาจึงขายกิจการให้กับคนที่พร้อมดำเนินการต่อและนำเงินตรงนั้นมาลงทุนในหุ้นกินปันผล และใช้เงินจากเงินเก็บช่วงอายุ 30 ปี ในวัย 60 ปีได้แบบไม่เดือดร้อน
บทความนี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ นักธุรกิจหน้าใหม่ และหน้าเก่า และคนที่อยากกระโดดเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจ ทั้งหลายว่าสิ่งที่คุณรู้มันอาจจะยังไม่เพียงพอต่อสิ่งที่คุณต้องมี และต้องเป็นสำหรับตำแหน่งเจ้าของกิจการก็ได้
ถ้าเรื่องนี้ มีประโยชน์กับคุณ ก็สามารถแชร์ไปให้คนที่คุณรักได้อ่าน และนำไปปรับใช้ในกิจการของคุณได้ไม่มากก็น้อย
ก่อนจะเปิดธุรกิจอะไร ต้องศึกษาให้รู้รอบ รู้ลึก และ รู้จริง
สโนว์ พัชรีรัศม์
โฆษณา