26 ส.ค. 2022 เวลา 16:12 • ไลฟ์สไตล์
1. นิพพานคืออะไร แล้วจะไปนิพพานกันทําไม?
นิพพานเป็นสภาวะที่ดํารงค์อยู่โดยไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสภาวะที่ดับไปแล้วซึ่ง อวิชชา กิเลสและกองทุกข์ เป็นอสังขตธรรมหรือโลกุตระสภาวะที่พ้นไปจากโลก เป็นเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนา
ในขณะที่โลกที่เราอาศัยอยู่เป็น สังขตธรรมหรือโลกียะ ซึ่งไม่พ้นไปจากสุขหรือทุกข์ มีปัจจัยปรุงแต่งอยู่เสมอๆ มีการเกิด การตาย การแปรสภาพ การหมุนวนเป็นวัฏจักรไปมา มีกิเลส ตัณหา อุปทาน มีสังขารปรุงแต่งไปมา มีดีมีชั่ว มีรวยมีจน มีโกรธมีเกลียด ดีใจเสียใจ และถูกควบคุมด้วย กฏแห่งกรรม จะมีบุคคลจําพวกหนึ่งรวมถึงตัวผมด้วย ที่เบื่อสภาพในลักษณะนี้ ต้องการพ้นไปจากสภาพนี้ ซึ่งความตายไม่ใช่คําตอบ เพราะรู้แล้วว่าตายไปจะต้องกลับมาอีกแน่ๆ
ใครได้ไปสู่นิพพานย่อมไม่กลับมาเกิดอีกและพ้นไปจากสังสารวัฏที่วนเวียนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด เราทําอกุศลกรรมย่อมไปสู่อบายภูมิ ถึงทำกุศลกรรมก็ยังต้องติดอยู่ในโลกของเทวดา และพรหมโลก ถึงแม้ดูเหมือนจะมีความสุขก็ยังเป็น สังขตธรรมที่มีสภาพไม่แน่นอน ยังต้องมาเกิดใหม่อยู่เรื่อยๆในสังสารวัฏ ซึ่งก็เหมือนการติดอยู่ในขอบเขตหรือกรอบอะไรบางอย่างที่ไม่มีอิสระภาพที่แท้จริง
2. ความหมายของนิพพาน
นิพพานมิอาจบรรยายด้วยภาษา แต่ในความเข้าใจแบบมนุษย์จึงต้องการภาษามาอธิบาย มีความหมายเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นแต่เราแบ่งแยกเพื่ออธิบายในหลายๆลักษณะ โดยความหมายทั่วๆไปจะเป็น
- จิตที่หลุดพ้น คือจิตที่รับรู้ถึงสภาวะนิพพานได้
- ผู้หลุดพ้น คือบุคคลผู้เข้าถึงนิพพาน เช่น พระอรหันต์
- สภาวะที่หลุดพ้น คือสภาพของพระนิพพานโดยแท้จริง
1. แบ่งตามผู้หลุดพ้นหรือผู้เข้าถึงนิพพาน โดยยึดสภาวะที่กิเลสถือครองเบญจขันธ์ (ขันธ์5) ( พระอรหันต์ ที่กิเลสถูกระงับด้วยญาณสมาบัติและละสังโยชน์ 10 ประการได้แล้ว )
1.1 สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่มีอุปาทิเหลือ (ยังมีเชื้อหรือยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่) เกิดกับพระอรหันต์ผู้ยังเสวยอารมณ์อันชอบและไม่ชอบทางอินทรีย์ 5 รับรู้สุขทุกข์อยู่
1.2. อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ(ไม่มีเชื้อเหลือ) เกิดกับพระอรหันต์ผู้ระงับการเสวยอารมณ์ทั้งปวงแล้วไม่ได้ถือครองเบญจขันธ์หรือดับขันธ์ไปแล้ว
2. แบ่งตามสภาวะของจิต โดยมีความเชื่อที่ว่านิพพานเป็นสภาวะเดิมแท้ของจิตบริสุทธิ์อยู่โดยพื้นฐาน ที่ไม่มีอวิชชาหรือกิเลสมาห่อหุ้ม
ท่านพุทธทาสใช้คําว่าจิตว่างเป็นหลักของความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนาก็คือ “นิพพาน” และใช้คําว่านิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เป็นสภาวะอันล้ำเลิศสูงส่งที่ต้องใช้ความเพียรพยายามกำจัดกิเลสอยู่นานหลายปีหรือหลายภพชาติ จึงจะเข้าถึงได้ โดยกำหนดสติไว้ไม่ให้โมหะและอวิชชาแห่ง “ตัวกูของกู” เกิดขึ้น
ท่านพุทธทาสได้ให้คํานิยามของนิพพานไว้ 3 ระดับ
1. ตทังคนิพพาน - เกิดขึ้นชั่วขณะเมื่อภาวะภายนอกไม่ทำให้คนเราเกิดความคิดเรื่องตัวกูของกูขึ้นมา ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นไปด้วยความไม่สงบ กิเลสก็จะกลับมาอีก
2. วิกขัมภนนิพพาน- ความสงบทางจิตด้วยการควบคุมจิตบังคับหรือข่มกิเลส ในระหว่างทำสมาธิอย่างเข้มข้น แต่กิเลสก็ยังดํารงอยู่ไม่หายไป
3. สมุทเฉทนิพพาน (ปรินิพพาน) เป็นความสงบของจิตอันเนื่องจากกิเลสถูกกำจัดออกไปจนหมด แทนที่จะถูกข่มหรือระงับไว้ชั่วคราว ซึ่งเกิดกับพระอรหันต์
อย่างไรก็ตาม ท่านพุทธทาสก็ยังถือว่า ทั้ง “ตทังคนิพพาน” และ “วิกขัมภนนิพพาน” เป็นนิพพานที่แท้จริงเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็มีผู้ไม่เห็นด้วย กับท่าน ในทํานองเดียวกับพวกอนุรักษ์นิยมที่เชื่อว่านิพพานต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต้องสะสมบารมี ไม่มีทางลัด ต้องเป็นสมุทเฉทหรือปรินิพานเท่านั้น
ลักษณะแนวคิดของท่านพุทธทาส ก็เป็นลักษณะแนวเดียวกับเซ็นคือ จิตคือพุทธะ เซ็นเข้าถึงพุทธภาวะ โดยไม่อาศัยลําดับขั้นตอน แต่ใช้วิธียกระดับจิตให้พ้นไปจากความคิดปรุงแต่ง คล้ายๆการทําจิตให้ว่าง ด้วยโกอานหรือปริศนาธรรม
3. สภาวะตัวนิพพานจริงๆเป็นอย่างไร? อันนี้ไม่ขออธิบาย เพราะไม่ทราบจริงว่ามีสภาวะเป็นเช่นไร เนื่องจากยังเข้าไม่ถึง แต่ขอเดาว่า จากนิยาม ไม่น่าจะใช่สถานที่ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่ใช่จักรวาล แต่น่าจะแทรกซึมอยู่ไปทั่วทั้งเอกภพ บางคนก็ถกเถียงกันไปมาว่านิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตา
4. ใครบ้างได้ไปนิพพาน
- พระอรหันต์ผู้ละสังโยชน์ 10 ประการ ( กิเลส 10 ประการไล่ไปตั้งแต่หยาบไปสู่ละเอียด ตัวสุดท้ายคือ อวิชชา )
- บุคคลธรรมดา ผู้ละสังโยชน์ 10 ประการ
- จิตว่าง หรือละเว้นตัวกูของกู ตามการตีความของท่านพุทธทาส ในข้อ 1,2 ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นจริง เป็นนิพพานชั่วคราว
หมายเหตุ: นิพพาน ความหมายคัดลอกจากบทความหลายๆฉบับและเพจพระธรรมปิฎก
โฆษณา