28 ส.ค. 2022 เวลา 04:10 • ท่องเที่ยว
"พัทลุง" แค่สองสามวัน
มาแล้วโว้ยยย! พัทลุง! อีกหนึ่งเมืองที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะเคยมาแล้วรู้สึกประทับใจเป็นยิ่งนัก ^^ ข้าพเจ้าชื่นชอบบรรยากาศของเมืองพัทลุงเป็นอย่างมาก มันมีความรู้สึกสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่านแล้วก็เป็นมิตร และที่สำคัญคือสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่ช่างงดงามเสียนี่กระไร :) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ชื่นชมวิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับยอยักษ์! ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินทางมาที่พัทลุงแห่งนี้ ข้าพเจ้าอยากเห็นวิวของยอยักษ์พร้อมกับแสงสีทองแห่งรุ่งอรุณ! แค่นั้นแหละ… ฮ่าๆๆ
"สถานีรถไฟหัวลำโพง"
DAY 1: 10 OCT 2021 - การเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ใช้บริการรถไฟบ้านเราเหมือนเดิมโดยนั่งรถไฟจากสถานีหัวลำโพงตอนบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ ไปลงที่สถานีพัทลุงช่วงเช้าๆ ของวันอาทิตย์ โดยออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงเวลาประมาณ 15.10 น. ถึงพัทลุงเวลา 07.21 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 16 ชม. โอ้วว ช่างยาวนานเป็นยิ่งนัก ^^
โดยระหว่างการเดินทางมาที่พัทลุงในครั้งนี้ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าวิวข้างทางนั้นไม่เคยทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ฮ่าๆ โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟสายใต้ที่ข้าพเจ้าได้แต่บอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าวิวสวยสะพรึง! ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็มสิบทุกรอบเลยจ้า :) เวลามองออกไปที่หน้าต่างข้าพเจ้าก็จะได้เห็นสีเขียวๆ ของทุ่งนา ทุ่งมะพร้าว สลับกับภูเขาที่แต่งแต้มไปด้วยปุ้ยเมฆกับแสงอาทิตย์ยามเช้า และถ้าได้ชาหรือกาแฟร้อนๆ จิบไปด้วยตอนชมวิว ก็คือที่สุดแห่งความสุขแล้วพี่น้อง
เอ้ย! ฮ่าๆๆ
"สถานีรถไฟพัทลุง"
DAY 2: 11 OCT 2021 - ถึงแล้ว… พัทลุง! ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึงสถานีพัทลุงกันแล้ว โดยไม่รอช้าพวกเราจะเดินไปหาที่พักกันก่อน โดยครั้งนี้พวกเราเลือกการ walk in แทนการจองล่วงหน้า เนื่องจากพวกเราเชื่อว่าห้องพักราคาไม่แพงนั้นจะยังคงมีพอให้เราอย่างแน่นอน เพราะช่วงสถานการณ์โควิดทำให้นักท่องเที่ยวมีจำนวนน้อย พวกเราคิดว่าไม่ต้องจองที่พักก็ได้ ค่อยไปเดินหาเอาก็ได้ ฮ่าๆๆ
หลังจากที่พวกเราเดินหากันอยู่สักพัก ในที่สุดก็เจอที่พักราคาเป็นมิตรสำหรับคนเบี้ยน้อยอย่างพวกเรา โดยเราเลือกพักที่ โรงแรมเมสท์ โฮเท็ล (FB: Mest Hotel) ด้วยราคาเพียง 435 บาท/ คืน ข้าพเจ้าจำได้ว่าเหมือนเราจะได้ข้าวไรส์เบอรรี่กลับมากันคนละถุงด้วยนะ แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าทางโรงแรมให้มาเพราะอะไร ฮ่าๆๆ โดยโรงแรมนี้ข้าพเจ้าคิดว่าโอเคเลย สะอาดสะอ้าน พนักงานบริการดีมากๆ และราคาไม่แพงจ้า (ข้าพเจ้าลืมถ่ายรูปมา ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน้า)
ซึ่งหลังจากที่เราทำการจ่ายตังและเช็คอินกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ให้พี่พนักงานต้อนรับช่วยเรียกรถสองแถวให้ โดยเราจะใช้บริการรถสองแถวแบบเช่าเหมากันไปเลยสองวัน โดยให้สองแถวพาเราเที่ยวตามโปรแกรมของเค้าเลย ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นให้ได้นั่นก็คือการไปดูยอยักษ์นั่นเอง ฮ่าๆๆ คือข้าพเจ้าจะต้องไปดูวิวยอยักษ์พร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ฮ่าๆๆๆ
"บรรยากาศ ตัวเมืองพัทลุง"
สำหรับทริปในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก โดยหลังจากพวกเราเอากระเป๋าไปเก็บ อาบน้ำ แปรงฟันแล้ว พวกเราก็เดินไปหาข้าวเช้ากินกัน โดยถัดจากโรงแรมที่เราพักจะมีร้านข้าวหลายร้านตั้งเรียงรายกันอยู่สองข้างทาง
เราเห็นมีร้านข้าวต้มอยู่ร้านนึง มองดูแล้วก็น่าสนใจเพราะเห็นมีอาหารอยู่หลากหลายเมนูให้ได้เลือกกิน ราคาก็ทั่วไป และตอนนั้นพวกเราก็หิวโซกันมาก ก็เลยตัดสินใจเลือกร้านนี้แหละ พวกเราเลยสั่งอาหารมากินกันคนละอย่างสองอย่าง มีทั้งโจ๊ก เกาเหลา และขนมจีบ ตบท้ายด้วยชาดำเย็นที่มีรสชาติอันแสนจะสดชื่น โดยรวมแล้วรสชาติอาหารโอเคเลย อร่อยใช้ได้ ^^
"อาหารเช้า"
เมื่อพวกเรากินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนกันสักหน่อยเพราะเรานัดรถสองแถวให้มารับตอนประมาณสักสิบโมงนี่แหละ โดยทางโรงแรมจะโทรเรียกให้รถสองแถวมารับที่หน้าโรงแรมเลย หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เวลาแล้ว ซึ่งพวกเราก็ให้ทางโรงแรมช่วยโทรเรียกรถสองแถวให้มารับที่โรงแรม โดยพวกเราก็นั่งรออยู่ไม่นานมากนักรถสองแถวก็มาแล้วจ้า :) ซึ่งสถานที่แรกที่คุณน้าคนขับรถพาเราเดินทางไปนั่นก็คือ “หลาดใต้โหนด” หรือตลาดที่ตั้งอยู่ใต้ต้นตาลโตนดนั่นเอง
โดยตลาดแห่งนี้เกิดจากแนวความคิดของคุณเจน สงสมพันธ์ุ และคุณนิยุติ สงสมพันธ์ุ ซึ่งเป็นครอบครัวของคุณกนกพงศ์ สงสมพันธ์ุ นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2539 (จากผลงานรวมเรื่องสั้น “แผ่นดินอื่น”) ที่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ จนได้ลาจากโลกนี้ไปในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งทางครอบครัวของคุณกนกพงศ์ ได้ทำการดัดแปลงบ้านของคุณกนกพงศ์ให้กลายเป็น ”บ้านนักเขียน” เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สาธารณะและให้พื้นที่ตรงนี้เป็นสถานที่ของคนที่รักการอ่านนั่นเอง
นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังเปิดเป็นร้านกาแฟอีกด้วย ซึ่งจะมีทั้งนักเขียน นักกวี นักดนตรี หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาพบปะ สังสรรค์ แลกเปลี่ยนเรื่องราวทัศนะต่างๆ กันอยู่บ่อยครั้ง โดยบริเวณนี้มีบรรยากาศร่มรื่นที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นตาลโตนด อีกทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวาง ทำให้คุณนิยุติเห็นว่าน่าจะพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนและให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมด้วย บวกกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนี้นิยมปลูกพืชผักสวนครัว และมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่แล้ว
จึงกลายเป็นแนวคิดที่จะพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นตลาดนัดชุมชน โดยการนำผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาลแบบปลอดสารพิษนำมาขายเพื่อสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกทาง รวมทั้งภายในตลาดยังมีสินค้าท้องถิ่นอื่นๆ อีกมากมายทั้ง อาหารและขนมท้องถิ่นที่หาทานได้ยากในชุมชน ที่กำลังจะสูญหายไปก็ได้นำกลับมาขายในตลาดแห่งนี้นั่นเอง ^^
"หลาดใต้โหนด"
พวกเราเดินเล่นกันที่หลาดใต้โหนดกันอยู่สักพัก โดยบรรยากาศในวันนั้นยังไม่ค่อยมีคนมากเท่าไหร่นัก แต่ว่ามีของขายทั้งอาหารคาวหวาน ขนม น้ำ ไอติมต่างๆ มากมาย พวกเราเดินซื้อกันแต่ของกิน ฮ่าๆๆๆ
"หลาดใต้โหนด"
จากนั้นคุณน้าคนขับรถ (ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้อีกแล้ว) ก็พาเราเดินทางไปยังจุดต่อไปนั่นก็คือ “นาโปเเก” แหล่งเรียนรู้วิถีเกษตรกรไทย โดยภายในมีทั้งพื้นที่แปลงปลูกข้าวสาธิตที่มีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองต่างๆ อาทิเช่น ข้าวสังข์หยด ข้าวซ้อมมือโบราณ เป็นต้น
นอกจากนั้นที่นี่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจเรียนรู้วิถีเกษตรกรสามารถเข้ามาเรียนรู้กันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวข้าว การไถนา การดำนา เลี้ยงควาย เป็นต้น และที่นี่ก็มีโฮมสเตย์ด้วยเช่นกัน หรือใครอยากจะมาสัมผัสกับบรรยากาศดีๆ หรือมาสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งกินลมชมวิว ก็สามารถเข้ามาได้เลยไม่เสียค่าใช้จ่ายจ้า
"นาโปแก"
พวกเราใช้เวลานั่งจิบชา กาแฟ เดินเล่น และถ่ายรูปกันอยู่สักพักก็ได้เวลาไปกันต่อ โดยคุณน้าคนขับบอกว่าจะพาไปชมวิวที่สะพานเอกชัย หรือ “สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550” ซึ่งระหว่างทางที่ขับรถมานั้น ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าวิวข้างทางโคตรสวย! :) แต่แอบร้อนไปหน่อย แต่ก็ยังพอมีลมพัดมาให้ได้คลายร้อนกันอยู่บ้าง ฮ่าๆๆ
"บรรยากาศระหว่างทาง"
โดยสำหรับ "สะพานเอกชัย หรือสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ที่สร้างขึ้นข้ามทะเลสาบเชื่อมการเดินทางระหว่าง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง และ อ.ระโนด จ.สงขลา นั่นเองจ้า :) โดยน้าคนขับรถก็จอดให้พวกเราไปเดินถ่ารูปเล่นกัน วิวสวยมากๆ บรรยากาศดีมากๆ ข้าพเจ้าเห็นฝูงนกเยอะมากๆ แต่วันที่ข้าพเจ้าไปยังไม่เห็นน้องควายน้ำนะ ฮ่าๆๆ
"สะพานเอกชัย หรือสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550"
พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศกันที่สะพานอยู่สักพักก็เย็นแล้ว เลยพากันเดินทางกลับเข้าที่พัก หาข้าวกิน และพักผ่อนกันเพื่อเตรียมตัวตื่นแต่เช้าในวันพรุ่งนี้เพื่อที่เราจะไปดูวิวยอยักษ์กับแสงของพระอาทิตย์ยามเช้ากัน! สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์จ้า...
"บรรยากาศระหว่างทาง"
DAY 3: 12 OCT 2021 - สำหรับวันนี้ พวกเราตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าตรู่ประมาณตีห้าได้ เพราะคุณน้าคนขับรถจะมารับเราแต่เช้าเพื่อที่จะเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับยอยักษ์กัน! ซึ่งหลังจากที่พวกเราจัดการทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ลงไปรอคุณน้ากันด้านล่างตรงล็อบบี้ และไม่นานนักคุณน้าก็พารถมาจอดอยู่หน้าที่พักแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก ฮ่าๆๆๆ ไปกันโล้ดดด
เพียงไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงจุดชมวิวยอยักษ์แล้วจ้า ณ คลองปากปะ โดยตอนแรกข้าพเจ้าว่าจะไปแชร์ค่าเรือกับคนอื่นๆ เพื่อจะนั่งไปดูยอยักษ์แบบใกล้ๆ ซึ่งตอนที่พวกเราไปถึงนั้นก็ไม่ทันคนอื่นๆ ที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว หมายความว่าไม่มีเรือให้พวกเราแล้ว ฮ่าๆๆๆ
ทางเจ้าหน้าที่เลยแนะนำว่าสามารถไปดูตรงจุดชมวิวตรงสะพานด้านบนก็ได้ นอกนั้นถ้าอยากไปล่องเรือก็สามารถไปล่องเรือที่ทะเลน้อยก็ได้ สวยเหมือนกัน ข้าพเจ้าเลยโอเค เดินไปดูวิวยอยักษ์ตรงจุดชมวิวก็ได้วะ ฮ่าๆๆ แอบเสียดายแต่ก็ไม่เป็นไร… ซึ่งวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นตอนหกโมงครึ่ง ข้าพเจ้าเหลือบดูเวลาก็เห็นว่าเหลือเวลาอีกถมถืด ข้าพเจ้าเลยนั่งเล่นด้านล่างก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นไปสักประมาณหกโมงกว่าๆ ก็ยังทัน
"วิวยอยักษ์ ณ คลองปากประ"
สำหรับ "คลองปากประ" นั้น คำว่า ปากประ เป็นชื่อของปากน้ำ และคำว่า ประ น่าจะมาจากคำว่า ปลา เนื่องจากคำบอกเล่าที่ว่า เมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นปากน้ำที่มีปลาชุกชุมอยู่มากนั่นเอง เมื่อก่อนผู้คนจึงได้เรียกคลองปากปลา แต่ก็มีอีกตำนานเล่าว่ามีต้นประงอกอยู่ริมตลิ่งบริเวณปากน้ำ ซึ่งว่ากันว่าต้นใหญ่มากและยังให้ร่มให้เงาแก่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นอีกด้วย ซึ่งก็มีชาวบ้านได้ไปนั่งพักรอเรือข้ามฝากอยู่บริเวณใต้ต้นประ ทำให้คลองแห่งนี้ถูกเรียกว่า “คลองปากประ” มาจนถึงปัจจุบัน นั่นเอง
"วิวยอยักษ์ ณ คลองปากประ"
ในที่สุดก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว พวกเราเดินกันขึ้นมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณสะพานพร้อมกับวิวของยอยักษ์ โดยเพื่อนร่วมทริปของข้าพเจ้าบอกมาว่าพระอาทิตย์จะขึ้นตอนประมาณหกโมงครึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าครึ้มๆ ตั้งแต่เช้ากันเลยทีเดียว ข้าพเจ้าได้แต่ภานาว่าขอให้ฝนอย่าตกเลย ฮ่าๆๆ
เพราะถ้าฝนตก ข้าพเจ้าก็จะไม่ได้เห็นแสงเหลืองทองอร่ามยามเช้าตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น และข้าพเจ้าก็จะไม่ได้เห็นแสงสีเหลืองทองอร่ามของพระอาทิตย์ในยามเช้าที่กระทบกับยอยักษ์ และข้าพเจ้าก็จะเศร้าเสียใจที่อุตส่าตั้งใจมาดูแต่ก็ไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของสิ่งเหล่านั้นได้ ฮ่าๆๆๆ แต่ทว่าเมื่อเวลาหกโมงครึ่งข้าพเจ้าก็ยิ้มแฉ่งอีกครั้งเพราะฝนไม่ตก และพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมาเปล่งประกายส่องแสงอันเจิดจ้า… ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า มันช่างงดงามเป็นยิ่งนักแล… :)
"วิวยอยกษ์ กับแสงสีทองอร่ามของพระอาทตย์ขึ้นในยามเช้าตรู่"
หลังจากที่พวกเราใช้เวลาชื่นชมกับความงดงามในยามเช้าตรู่กันแล้ว ซึ่งจากที่พวกเราได้รับคำแนะนำมาตั้งแต่ตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นว่าถ้าหากไม่ได้ล่องเรือไปดูยอยักษ์ก็สามารถไปล่องเรือที่ทะเลน้อยได้เลย พวกเราเลยให้คุณน้าคนขับรถพาไปส่งยังจุดขึ้นเรือทะเลน้อย ^^
"ทะเลน้อย"
ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ล่องเรือสักที ฮ่าๆๆ บรรยากาศตอนเช้าที่ทะเลน้อยนั้นค่อนข้างร้อน ร้อนกันตั้งแต่เช้ากันเลยที่เดียว แต่พอได้ล่องเรือไปแล้วลมเย็นๆ ตอนเช้าๆ ที่พัดมาปะทะกับใบหน้าในยามเช้าก็คลายร้อนได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ
ฮ่าๆๆ
"ทะเลน้อย"
“ทะเลน้อย” เป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ตั้งอยู่ในตำบลนางตุง และตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โดยมีความลึกอยู่ที่ 1.5 เมตร และเป็นแหล่งน้ำจืดที่มีปลาน้ำจืด และนกชนิดต่างๆ ชุกชุมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแต่เดิมนั้นชาวทะเลน้อยจะทำอาชีพประมงเป็นหลัก
แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นก็มีการทำประมงและเลี้ยงชีพด้วยการประมงกันมากขึ้น ทำให้จำนวนสัตว์น้ำจืดทั้งหลายก็มีจำนวนลดลง ทำให้ชาวประมงต้องเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นๆ กันมากขึ้น เช่น ค้าขาย ขับรถโดยสารประจำทาง เป็นต้น และในปัจจุบันผู้คนก็นิยมมาทำทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากกระจูด เช่น หมวก พัด กระเป๋า รองเท้า แฟ้มใส่เอกสาร เป็นต้น
โดยในปี พ.ศ. 2517 ชุมชนทะเลน้อยก็ร่วมกันเสนอให้มีการจัดตั้งทะเลน้อยเป็น “อุทยานนกน้ำทะเลน้อย” เนื่องจากมีการล่านกที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของทะเลน้อย ทำให้จำนวนนกที่มีนาดใหญ่อย่าง นกกาบบัว มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ซึ่งทางชุมชนกลัวว่านกเหล่านี้อาจจะสูญพันธุ์ไปในไม่ช้าหากไม่มีการอนุรักษ์เอาไว้
ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้เข้ามาสำรวจสภาพพื้นที่และสัตว์ป่าในทะเลน้อย จากนั้นจึงได้มีการประกาศให้ทะเลน้อยเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยขึ้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2518 เป็นต้นมานั่งเองจ้า :)
"ทะเลน้อย"
สำหรับการล่องเรือทะเลน้อยในครั้งนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบที่สุดน่าจะเป็นบรรยากาศของทะเลน้อยที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และสบายตามากๆ เพราะวิวรอบๆ ที่เต็มไปด้วยสัตว์เล็กน้อยใหญ่ทั้งหลาย ตั้งแต่นกตัวน้อยๆ หลากหลายชนิด ไปจนถึงน้องควายน้ำตัวอวบอ้วนน่ารักที่ออกมาเผยโฉมความงามให้ข้าพเจ้าได้เห็น นานนานทีข้าพเจ้าจะได้เห็นน้องควายที่โคตรมีความสุขกับการว่ายน้ำ ฮ่าๆๆๆ น้องน่ารัก ^^
"ทะเลน้อย"
หลังจากการล่องเรืออันแสนดีงามที่ทะเลน้อยแล้วนั้น พวกเราก็ให้คุณลุงนำพาพวกเราไปชมวิวเขาอกทะลุ กันสักเล็กน้อย โดยระหว่างทางที่ไปเขาอกทะลุนั้น บรรยากาศข้างทางก็ช่างแสนจะงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งวิวทิวทัศน์สีเขียวๆ ของท้องทุ่งนา สลับกับบรรยากาศอันสงบสุขของบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ระหว่างทาง ข้าพเจ้าชื่นชอบเป็นยิ่งนักแล… ^^ ดี! ++
“เขาอกทะลุ”
“เขาอกทะลุ” เป็นภูเขาหินปูน มียอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 245 เมตร โดยเขาอกทะลุ ถือได้ว่าดเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าภูเขาลูกนี้เป็นที่สิงสถิตของเจ้าแม่ดุดี ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเขาอกทะลุที่ชาวพัทลุงให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนี้ทำให้ทางจังหวัดได้นำภาพเขาอกทะลุและเจดีย์ที่อยู่บนยอดเขามาทำเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดพัทลุง
นอกจากนั้นเขาอกทะลุยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของจังหวัด โดยได้มีการค้นพบพระพิมพ์ดินดิบศิลปะสมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 12-13) จำนวนมาก อยู่บริเวณภายในถ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณพื้นที่เขาอกทะลุแห่งนี้เดิมเคยเป็นที่ประกอบกิจกรรมของผู้คนหรือนักบวชภิกษุสงฆ์ในอดีต ทำให้ยังคงมีร่องรอยของศิลปวัตุเอาไว้เป็นหลักฐานนั่นเอง
สำหรับเขาอกทะลุ ก็ยังมีตำนานเล่าขานกันมาว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… นานมากจนจำไม่ได้ แฮ่! ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าหยอก ^^ ว่ากันว่ามีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง โดยคนเป็นสามีมีชื่อว่า นายเมือง มีอาชีพเป็นพ่อค้าช้าง ซึ่งนายเมืองมีภรรยาสองคน ภรรยาหลวงมีชื่อว่า นางสินลาลุดี หรือ นางดุดี ส่วนภรรยาน้อยมีชื่อว่า นางบุปผา โดยภรรยาหลวงกับภรรยาน้อยชอบทะเลาะตบตีกันอย่างสม่ำเสมอ
นายเมืองมีลูกสาวที่เกิดกับภรรยาหลวงหนึ่งคนชื่อว่า นางยี่สุ่น เป็นหญิงสาวที่ชื่นชอบการค้าขาย และมีลูกชายที่เกิดกับภรรยาน้อยอีกหนึ่งชื่อนายซังกั้ง มีนิสัยเกเร จนกระทั่งมีอยู่วันนึงที่นายเมืองเดินทางไปค้าขายช้างต่างถิ่น ลูกสาวออกเรือสำเภาไปเมืองจีน ส่วนลูกชายก็ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน โดยทั้งสามไม่ได้กลับบ้าน มีก็เพียงแต่ภรรยาหลวงและภรรยาน้อยอยู่บ้าน ภรรยาหลวงนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนภรรยาน้อยกำลังตำข้าวอยู่
พอผ่านไปสักพักทั้งสองก็เริ่มมีปากเสียงกัน ทะเลาะกันอย่างรุนแรง โดยภรรยาหลวงได้ใช้กระสวยทอผ้าฟาดไปที่ศรีษะของภรรยาน้อย ทำให้แผลแตกเลือดอาบหน้า ส่วนภรรยาน้อยก็ไม่ยอม ใช้สากตำข้าวแทงละลุและกระทุ้งตรงทรวงอกของภรรยาหลวงจนอกทะลุ จนในที่สุดท้งสองก็ถึงแก่ความตายและกลายสภาพเป็นภูเขา ภรรยาน้อยกลายเป็นเขาหัวแตก ส่วนภรรยาหลวงกลายเป็นเข้าอกทะลุนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โอ้ววว…. ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นยิ่งนัก ^^
"พัทลุง"
ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งทริปที่ข้าพเจ้ามาแล้วก็อยากจะมีอีก ถ้ามีโอกาศ ^^ ที่นี่มีทั้งความเป็นมิตรของผู้คนและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งเรื่องราว ตำนาน และวิถีชีวิตของชาวพัทลุงที่ถูกสอดแทรกเอาไว้ตามสถานที่ต่างๆ ที่เราไปเยือน มันมีทั้งความสวยงาม ความสงบ และความเป็นพัทลุงที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร
ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะตีความออกมาเป็นแบบไหน แต่พัทลุงก็คือพัทลุง ที่ข้าพเจ้าเข้าถึงได้ในแบบที่เป็นพัทลุง ฮ่าๆๆๆ ตรูเขียนอะไรวะ! แต่ก็นั่นแหละ หากใครมีเวลาก็ลองมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้กันดูสักครั้งเถอะนะ :)
ข้าพเจ้าขอลาแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่… :)
สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ (ไม่รวมค่าอาหาร) - พัทลุง 2 วัน 1 คืน (2,417 บาท)
- รถไฟขาไป (ที่นั่งชั้น 3) 327 บาท
- รถไฟขากลับ (ที่นั่งชั้น 2) 480 บาท
- รถสองแถวเช่าเหมาวันแรก คนละ 500 บาท
- รถสองแถวเช่าเหมาวันที่สอง + ดูวิวยอตอนเช้า คนละ 450 บาท
- ค่าที่พัก คนละ 435 บาท
- ค่าเช่าเรือ (ทะเลน้อย) คนละ 225 บาท
อ้างอิง
โฆษณา