บทบาทของเทคโนโลยี BlockChain กับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน
เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ประเทศไทย จะต้องผ่านกฎหมาย Climate Act หรือ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจในประเทศไทย ต้องมีการประเมินและควบคุมปริมาณการสร้างคาร์บอนฟุตปรินท์ในธุรกิจของตน เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถทราบถึงปริมาณคาร์บอนที่ตนผลิต และใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณา การคำนวณภาษีคาร์บอน เพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิต ครับ
ปัจจุบันระบบการประเมิน Carbon Footprint Measurement ของไทยนั้น กำกับดูแลโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) แต่ในหลายๆ ประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยี BlockChain มาใช้ประโยชน์ด้านการเก็บข้อมูลของระบบ Carbon Footprint ด้วยครับ
จุดเริ่มต้นของการนำ BlockChain มาใช้ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมในภาคธุรกิจ เกิดขึ้นในช่วงปี 2016 เมื่อบริษัท IBM ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์ ได้จับมือกับ Walmart บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกา พัฒนาระบบตรวจสอบอาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งในภายหลังถูกพัฒนาเพิ่มขึ้น จนกลายเป็น IBM Food Trust Network ที่ใช้ตรวจสอบข้อมูล แหล่งที่มา และการจัดการกับ Supply Chain ของสินค้าที่จำหน่ายใน Walmart ทั้งหมด
ต่อมาในปี 2017 บริษัท IBM ยังได้ร่วมกับ Energy-BlockChain Labs เปิดตัวแพลตฟอร์ม Carbon Credit Management ที่ให้บริการด้านการจัดการ และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ให้แก่องค์กรเอกชน ซึ่งปัจจุบันระบบนี้กำลังเปิดใช้งานอยู่ในประเทศจีนครับ
นอกจากนี้ ในหลายๆ ประเทศและหลายๆ องค์กร ก็เริ่มมีการนำเอาเทคโนโลยี BlockChain มาใช้เก็บข้อมูล Carbon Footprint และใช้จัดการกับระบบ Carbon Credit มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากระบบ Smart Contract ของ BlockChain สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับงานหลากหลายรูปแบบ
และยังมีจุดเด่นในเรื่องการไม่มีศูนย์กลาง สามารถตรวจสอบได้ เป็นการเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงมีความโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลไทย จะต้องศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี BlockChain เพื่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้นครับ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
