Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กรรม
•
ติดตาม
29 ส.ค. 2022 เวลา 12:06 • นิยาย เรื่องสั้น
เปรตยายชี
"คืนนี้จงรีบนอนแต่หัววัน หากไม่รีบนอน ลูกจะได้ยินเสียงหวีดร้อง เสียงหวีดมาแต่ไกล หรือเห็นเงาดำตะคุ่มโอนเอนที่ยอดต้นยาง นั่นแหละเปรตยายชี"
นี่คือคำพูดของยายที่พูดกับแม่ ตอนแม่ยังอายุเพียง 6-7 ขวบ
เรื่องเปรตยายชี เป็นเรื่องราวที่แม่จำได้ขึ้นใจ แม้ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น แม่ยังเล็กอยู่มากก็ตาม แต่แม่จำทุกเรื่องราวและทุกคำเกี่ยวกับเปรตยายชีได้แม่นยำ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2505 แม่อายุได้เพียง 7 ขวบ เป็นธรรดาของคนสมัยก่อนที่บ้านมักจะอยู่ใกล้วัด ตอนเรียนก็เรียนโรงเรียนวัด แม่วิ่งเล่นแถวบ้าน แถววัดมาตั้งแต่เกิด และแม่ก็เห็นแม่ชีคนนึงมาตั้งแต่จำความได้
แม่ชีคนนี้ชื่อแม่ชีชิด เป็นใครมาจากไหน มาบวชตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าใครๆ ที่อยู่ละแวกวัดก็เห็นแม่ชีชิดมาตั้งแต่มาตั้งถิ่นฐาน สร้างบ้านสร้างเรือนกันแล้ว บ้างก็ว่าเป็นอดีตเมียเจ้าอาวาสบ้าง บ้างก็ว่าเป็นคนมาอาศัยใบบุญวัด แต่ก็ไม่มีใครรู้จริงในเรื่องนี้
แต่ชาวบ้านพร้อมใจกันเรียกแม่ชีว่า "ยายชี" เพราะแกคงอยู่มานาน ในตอนนั้นอายุแกก็เป็นยายของใครหลายๆ คนระแวกวัดได้
ในวัดมีแม่ชีไม่กี่คน แต่ที่ทุกคนจำได้และรู้จักเป็นอย่างดี ก็คงจะมีแต่ยายชีชิดนี่แหละ เพราะแกขึ้นชื่อเรื่องความดุ หวงของ และขี้เหนียวเป็นที่สุด
แกชอบไล่ตะเพิดเด็กๆ ที่มาแอบเก็บมะยม กับชมพู่มะเหมี่ยวหลังกุฏิชีแก แค่ไล่ไม่พอ บางคนหนีไม่ทันก็โดนไม้เรียวยายชีหวดจนขึ้นแนว ของก็ไม่ใช่ของแก มะยมกับชมพู่มะเหมี่ยวมันขึ้นเอง แกไม่ได้มาปลูกไว้ แต่พอมันขึ้นชายคากุฏิ แกก็เหมาไปเลยว่าเป็นของแก เด็กๆ ต่างพากันเกลียดขี้หน้ายายชีนัก เด็กบางคนหมั่นไส้ เอาก้อนหินไปเขวี้ยงใส่หลังคาสังกะสีตอนแกหลับ แกก็สะดุ้งตื่นมาด่าเด็กพวกนี้
ไอ้เรื่องปากร้าย ด่าได้เผ็ดร้อนนี่ก็ต้องยกให้แกเหมือนกัน ด่าทีจิกกบาลด่าโคตรกันเลยทีเดียว
นอกจากเด็กๆ ที่จะไปลักมะยม กับชมพู่มะเหมี่ยวมากินแล้วก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้กุฏิยายชี เพราะกุฏิแกมีกลิ่นเหม็นมาก ใครเดินใกล้ต้องเอามือปิดจมูก เพราะข้าวแกงที่เอามาจากวัดหลังพระฉันเสร็จแล้ว แกไม่ยอมทิ้งสักอย่าง ปล่อยให้บูดเน่าคาชามสังกะสีอยู่แบบนั้น
ข้าวปลาที่ชาวบ้านนำมาถวายพระ เมื่อพระท่านฉันเสร็จ แกก็แบ่งมากินส่วนตัว และด้วยความโลภมาก ตระหนี่ ยายชีก็จะเลือกเอามาแต่ของดี ๆ เอามาทีครั้งละมาก ๆ เกินความต้องการ ก็เหลือบูดเน่าอยู่แบบนั้น ขนาดอาหารเหลือจากการกิน แกยังไม่แบ่งให้หมาแมว กุฏิหลังนี้เลยไม่มีหมาแมวมาแวะเวียนสักตัว ถ้าหมาแมวตัวไหนย่องมากุฏิแกล่ะก็ แกจะใช้ไม้ฟืน เขวี้ยงใส่ บางตัวโดนหัวถึงขึ้นเลือดออกเลยก็มี
ข้าวสวยแกก็เอาไปตากแดด คงจะทำข้าวตัง แต่แกก็คงลืม หรือเอาข้าวมาเยอะไปก็ไม่รู้ได้ ตากจนราขึ้นคากระบุงแบบนั้น
นอกจากข้าวปลาอาหารแล้ว แกยังเอาข้าวของเครื่องใช้ที่ญาติโยมมาถวายพระ มาเป็นสมบัติส่วนตัว จำพวกเครื่องสังฆทาน จริงๆ แกก็สามารถแบ่งปันนำไปใช้ได้ หากได้รับการอนุญาตแล้ว แต่อย่างที่บอกว่าด้วยความตระหนี่ ความโลภ แกจะคอยจ้องว่าวันนี้ใครจะถวายอะไรเป็นพิเศษ และนำมาเป็นของตนเองแบบมากเกินความจำเป็น
นอกจากปากร้าย ขี้เหนียว ยังใจร้ายอีก ยายเล่าให้แม่ฟังว่า เวลาหน้าฝน ฝนตกขี้ตะไคร้จะขึ้นบริเวณหัวบันไดกุฏิยายชี ยายชีจะเอาแปรงลวดมาขัด พอเห็นกบ คางคก กระโดดอยู่แถวหัวบรรได แกจะเอาสันแปรงลวดทุบหัวมัน บางตัวก็หนีไปได้ แต่บางตัวน็อคตายคาแปรงลวดแกก็จับโยนไปไกล ๆ ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมแกทำแบบนี้ ต่างเดากันว่าแก ขี้หวง ขี้รำคาญ ขวางหูขวางตา ไม่อยากให้ตัวอะไรมาเพ่นพ่านแถวกุฏิแก
ชาวบ้านระแวกวัดจึงไม่ค่อยมีใครชอบยายชีเสียเท่าไหร่ โดยเฉพาะเด็กๆ แต่ไม่มีใครต่อว่าหรือตำหนิอะไร เพราะเห็นว่าแก่มากแล้ว
แกก็อยู่นานอยู่ทนเหลือเกิน แก่มากแล้วก็ยังไม่ตาย แต่สังขารก็คือสังขาร ไม่เที่ยงไม่ทน ยายชีตายตอนอายุเกือบร้อย ยายเล่าให้แม่ฟังว่า แกตายในกุฏิ แก่ตาย คนที่ไปเจอคนแรกบอกว่าแกตายตาไม่หลับ ใครๆ ก็พูดกันว่าแกไปไม่สงบ เพราะห่วงของ
ที่วัดตั้งศพยายชี สวดพระอภิธรรม ทุกอย่างดูเป็นไปอย่างธรรมดา ยายชีไม่มีญาติพีน้องที่ไหน หรือตายกันหมดแล้วก็ไม่ทราบได้ จึงมีแต่ชาวบ้าน และแม่ชีด้วยกันเท่านั้นที่ไปร่วมงานศพ
คืนที่ 3 หลังจากที่ยายชีตาย ตาถ่วงที่เป็นสัปเหร่อเล่าให้ชาวบ้านฟังว่า ตอนตี 4 แกไปทำความสะอาดเมรุเหมือนเช่นทุกวัน แกเดินผ่านศาลาสวดศพยายชี ได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง ไม่ใช่กลิ่นศพ แต่เป็น กลิ่นอาหารบูด กลิ่นเหมือนเวลาเดินผ่านกุฏิยายชี แต่กลิ่นรุนแรงว่านั้นเยอะ
พอหันไปดูเท่านั้นแหละ เห็นวิญญาณยายชีนั่งอยู่หน้าศาลาสวดศพ ในมือถือพวงมาลัยที่ใช้รดน้ำศพ จะบอกว่านั่งก็ไม่ได้ เพราะสภาพวิญญาณยายชีมีแค่ครึ่งตัวบน ท่อนขาไม่มี สภาพดูเศร้าหมอง ตาถ่วงที่เป็นสัปเหร่อนี่ก็จิตแข็ง แกคงเห็นมาเยอะ แกบอกแกไม่กลัว แถมยังถามวิญญาณยายชีอีกว่าจะไปเกิดที่ไหน ไม่มีเสียงใดหรือคำตอบใดจากดวงวิญญาณนั้น สักพักร่างนั้นก็ค่อยๆ หายไป
มาถึงวันที่ 7 วัน ก็ถึงวันเผาพิธีการดูเป็นไปอย่างปกติ ตกดึกคืนนั้นเอง น่าจะสักประมาณเที่ยงคืน บ้านทุกหลังต่างปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ยายบอกว่ายายสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาแต่ไกล ไม่ใช่เสียงแมลง หรือตัวอะไรร้อง มันเป็นเสียงผิดปกติที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันทำให้ยายขนลุกตั้งแต่ปลายขายันหัว ยายนอนกับแม่แค่ 2 คน ยายบอกว่ายายกลัวมาก รีบคลุมโปงและท่องนะโมตัสสะ
เสียงนั้นดังอยู่พักใหญ่ บ้างชัด บ้างแผ่ว มันเป็นเสียงหวีดร้อง เหมือนกรีดร้องแต่ไม่เต็มเสียงนัก แต่มันฟังดูโหยหวน เหมือนตัวที่กำลังร้องอยู่กำลังได้รับความทุกข์ทรมานหรือกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
รุ่งเช้าเรื่องเสียงหวีดร้องถือว่าเป็น Topic สำคัญสำหรับวันนี้ ไม่ใช่ยายคนเดียวที่ได้ยิน แต่ได้ยินกันทุกหลังคาเรือน นอกจากลูกเด็กเล็กแดงที่หลับสนิทกันจริงๆ ถึงจะไม่ได้ยิน
ทุกคนต่างสรุปกันว่าเป็นเสียงของวิญญาณยายชี และแกคงจะไปเป็นเปรตมาร้องขอส่วนบุญ ชาวบ้านเลยต่างพากันไปทำบุญถวายสังฆทานให้
เรื่องเปรตยายชีเป็นที่โจษจันกันพักใหญ่ เพราะต่อให้ทำบุญกันแค่ไหน ชาวบ้านก็ยังได้ยินเสียงเปรตยายชีอยู่เกือบทุกวันโดยเฉพาะวันพระ ตกค่ำไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน ปิดหน้าต่างลงกลอน เพราะมีหลายคนเล่าว่าไม่ได้ยินแค่เสียง แต่เห็นเปรตยายชีเต็มตาเลย
อาแปะคนขายถ่านเล่าให้ฟังว่าแกเจอมากับตัวเอง แกตื่นตี 3 ครึ่งทุกวันเตรียมถ่านลงเรือ แกเหลือบไปทางวัดที่มีต้นยางสูงเด่น คืนนั้นมีแสงจันทร์ทำให้เห็นเป็นตะคุ่ม ซึ่งปกติก็จะมีเงาตะคุ่มของต้นยางอย่างเดียวที่สูงเด่น แต่วันนั้นอาแปะเห็นเป็น 2 เงา ต้นยางอันนึง กับเงาดำอีกอันที่สูงเหนือต้นยางมากนัก แวบแรกแกก็มองออกทันทีว่าเป็นผี พร้อมกับเสียงหวีดร้อง เงานั้นโอนเอนไปมา อาแปะตกใจสุดชีวิต รีบวิ่งเข้าบ้าน คืนนั้นไม่เป็นอันจัดของ ไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้น
พระเณรชีก็ไม่เว้น เห็นกันหมด ตาถ่วงสัปเหร่อที่เคยเห็นเปรตยายชีครั้งนึง ก็เล่าให้ฟังว่าแกเห็นอีกครั้ง ครั้งนี้ยายชีเป็นเปรตจริง ๆ ยืนอยู่ข้างต้นยางใกล้ๆ ศาลาที่สวดศพแก ตาถ่วงเห็นแค่ส่วนกลางลำตัวขึ้นไปถึงหัว เพราะเปรตยายชีไม่มีส่วนล่างและขา ต่อให้เคยเห็นผีมานักต่อนัก แต่พอมาเจอสภาพสยดสยองแบบนี้ ตาถ่วงก็เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมาเหมือนกัน แต่ตาถ่วงก็ศิษย์มีครู เลยกลั้นใจสวดมนต์แผ่เมตตาให้
ถึงจะเป็นที่หวาดกลัวกันของชาวบ้านแถวนั้น ไม่เว้นพระเณร แต่หลายคนก็อดสงสารไม่ได้ นี่แหละหนาครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ ต่อให้ดำรงอยู่ในสถานะชีพราหมณ์ แต่ถ้าประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่รักษาศีล ซ้ำยังมีใจตระหนี่ เอาของวัดมาใช้ส่วนตัวด้วยความโลภมาก เมื่อตายจากโลกนี้ไป อบายก็เป็นที่หวังได้
#เปรต #กรรม #ผลกรรม #ผี
พุทธศาสนา
เรื่องเล่า
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย