อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตก็ไม่สามารถ หาก๊าซ CO2 ได้ และด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงไม่สามารถรับประกันการส่งน้ำเปล่าอัดลมในเดือนสิงหาคมและกันยายนนี้ได้ อย่างไรก็ตามวิกฤตการณ์การขาดก๊าซ CO2 ไม่ใช่เรื่องใหม่ และโดยปกติก๊าซ CO2 ถูกนำมาใช้ในภาคส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมอาหาร นอกเหนือจากน้ำเปล่าและเครื่องดื่มอัดลมแล้วก๊าซ CO2 ยังใช้ในการผลิตเบียร์ และเครื่องดื่มอื่นๆ การใช้เพื่อจำกัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราในกระบวนการเก็บรักษาอาหาร เป็นสารทำความเย็น (ก๊าซ CO2 ถูกนำมาใช้สำหรับอัดความเย็นของตู้เย็นในบาร์ร้านอาหาร) การสกัดสารคาเฟอีนออกจากกาแฟ และการบรรจุภัณฑ์อาหาร
2. ภาคการเกษตรก๊าซ CO2 ถูกนำมาใช้ในโรงเรือนเพื่อเสริมการเจริญเติบโตของพืช และการรมควันสัตว์ ก่อนฆ่าในกระบวนการปศุสัตว์
3. ภาคสาธารณสุขก๊าซ CO2 ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อเครื่องมือและสำหรับการตรวจวินิจฉัยต่างๆ
อย่างไรก็ตามด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบด้านพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตก๊าซ CO2 เช่นกัน บริษัทต่างๆ ได้ตัดสินใจให้ความสำคัญต่อภาคการแพทย์ การเกษตร และการเก็บรักษาอาหาร จึงเป็นเหตุผลของการขาดแคลนก๊าซ CO2 สำหรับอุตสาหกรรมน้ำเปล่า/เครื่องดื่มอัดลม
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าทำไมไม่สามารถนำก๊าซ CO2 ที่พบในอากาศมาใช้ โดยพิจารณาว่าการปล่อยก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศเป็นหนึ่งปัญหาสำคัญที่เราต้องเผชิญในปัจจุบัน โดยปกติก๊าซ CO2 ที่พบในอากาศมีความหนาแน่นค่อนข้างต่ำ การดำเนินการดึงสกัดก๊าซ CO2 ออกมาจึงเป็นเรื่องที่ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนและก่อให้เกิดมลพิษสูง
ทั้งนี้ หากผู้ผลิตต้องการผลิตก๊าซ CO2 มากขึ้น อาจสามารถพึ่งพาการปศุสัตว์ได้ โดยใช้ปฏิกรณ์ชีวภาพที่ทันสมัย และปรับให้เข้ากับการสกัดก๊าซ CO2 นอกเหนือจากก๊าซมีเทน (ทั้งนี้ ปัจจุบันก๊าซ CO2 สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารในยุโรปส่วนใหญ่มาจากโรงงานปุ้ย ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการแปรรูปแอมโมเนีย หรือเป็นผลพลอยได้จากโรงงานไบโอเอทานอล และจากแหล่งธรรมชาติ)