3 ก.ย. 2022 เวลา 17:39 • ความคิดเห็น
วันที่ 4 ก.ย. พ.ศ. 2556
ยกเลิกหนี้ กยศ. แล้วเรียนฟรีก็ดีนะ ... by กูเองคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว
กยศ. ไม่ใช่ ก.ย.ศ. วาดก็ผิด ปัดโถว์ว์ (เราจะภาษาสก๊อยตบท้ายทำไมวะ?)
...เรื่องของหนี้สินกับเงินกู้... สำหรับเรามันคือสิ่งน่ารังเกียจ เราเองก็เป็นหนี้เหมือนกันค่ะ ...มันไม่สนุกมาก ๆ
...ในบทความนี้เราขอพิมพ์แค่เรื่องของหนี้ ก.ย.ศ อย่างเดียวนะคะ แล้วก่อนที่เราจะเริ่มต้นกัน เราของบอกเอาไว้ก่อนว่า นี่เป็นความคิดเห็นของเราเพียงคนเดียว เรามองว่าการศึกษามันไม่ควรจะเป็นเหมือนอุสาหกรรมหรือตลาดหุ้น มันไม่ควรจะเป็นการค้าขายหรือการขายบริการ มันควรจะเป็นสิทธิ์พื้นฐานของชีวิต ก็พวกเราต่างก็ต้องการการพัฒนากับคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ใช่เหรอ ?
...เราเข้าใจว่าหลายคนคงคิดไม่เหมือนกับเรา เราเคยได้ยินกระทั่งประโยคพูดที่บอกว่า 'การทำให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้ มันจะทำให้โลกมีวายร้ายเกิดขึ้น' หรือแม้แต่ประโยคว่า 'ไม่ใช่ทุกคนที่คู่ควรกับการศึกษา' และ 'มนุษย์ไม่สามารถรวยทุกคนได้' ...
... คนกลุ่มนี้เชื่อว่าคนไม่เท่ากัน เราก็เห็นด้วยกับเขานะ ... ใช่ ... เราคิดว่าคนเราไม่เท่ากันในเชิงความสามารถ แต่ไม่ใช่ในเรื่องสถานะทางสังคม และแม้ว่าเราจะมองว่าคนเรามีความสามารถไม่เท่ากัน แต่เราก็เห็นมานานแล้วว่าคนเราพัฒนาได้ หลายคนก็พัฒนาได้ในแบบของตัวเอง
... มีคนคนนึง เขามักบอกกับเราเสมอว่าผู้หญิงมาแทนที่ผู้ชายไม่ได้ เราคิดว่าเขามองผิดมุม สำหรับเรามันไม่ใช่คำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่มันคือคำว่าคน คนเราไม่สามารถเป็นคนอื่นได้แบบ 100% ถ้าคุณมีสูตรอาหารหนึ่งสูตร ต่อให้สูตรนั้นมันจะเขียนเอาไว้ระเอียดขนาดไหนก็ตาม ถ้าคุณเอามันไปแจกให้คนร้อยคนทำออกมาคนละจาน คุณก็จะได้อาหารร้อยจานที่ไม่เหมือนกันเลย อย่างเนียนสุดก็อาจให้เชฟร้อยคนทำให้ มันก็จะออกมาคล้ายกัน แต่ไม่มีวันเหมือนกัน 100%
... และความจริงที่สุดที่คนทำอาหารรู้ก็คือ เชฟคนเดียวทำอาหารเมนูเดียว ก็ใช่ว่ามันจะเหมือนเดินทุกครั้ง ...
... อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว บางคนอาจจะสงสัยว่าไอ้ที่เราพาออกทะเลมานี้มันเกี่ยวอะไรกับหนี้ ก.ย.ศ. เราก็จะบอกว่าให้คุณลองคิดดูเอาสิ ... มันอาจจะเกี่ยวกันแบบตรงแปะ ๆ แต่บางที่มันอาจจะเชื่อมโยงกันมากกว่าที่คุณคิดก็ได้
... ตอนนี้เรามีคนจำนวนมากที่แบกหนี้ ก.ย.ศ. ด้วยความยากลำบาก และมีคนอีกเป็นล้านที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา พวกเขาคือเราเสียไปแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือคนที่เรากำลังจะเสียไป ... และไม่ว่าคุณจะอยากยอมรับหรือไม่ก็ตาม พวกเขาคือคนที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานของประเทศเรา และตอนนี้พวกเขากำลังตายซากแล้วก็กำลังจะจากเราไปแบบคนที่ว่างเปล่า ... ก็อาจไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียว เขาอาจจะจำเรื่องแย่ ๆ ที่คนออกแบบระบบมายีหัวพวกเขาไปด้วย
...คนที่ถอดใจกับประเทศนี้ไปแล้ว ก็อาจจะมีหวังว่าจะได้ไปอยู่ประเทศอื่นที่ดีกว่า เราก็เป็นคนนึงที่คิดแบบนั้น เราก็ท้ออใจกับประเทศนี้อย่างจริงจังคนนึงเหมือนกัน ท้อใจกับระบบราชการที่เละเทะ มีเส้นสายรุงรังยิ่งกว่าเสาไฟที่รกที่สุดด้วยซ้ำ หนักสุดคือความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ทุกวงการ ขนาดจะเป็นนักกีฬาก็ยังมีการใช้เส้นเลย เรื่องการศึกษานี่ก็เยอะ ย้อนไปก่อนที่จะมี ก.ย.ศ. ก็ต้องคนมีเงินเท่านั้นถถึงจะได้เรียน
...ก.ย.ศ. แรกเริ่มมาก็เหมือนว่าจะดี น่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่คนที่กู้ได้ ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้จน (บางคนก็ไม่ใช้หนี้ด้วย) คนที่จนจริง ๆ บางคนก็กู้ไม่ได้ เราก็กู้ตอนมหาลัยไม่ได้เหมือนกัน
... เราโชคร้ายนิดหน่อยที่เกิดมาในครอบที่ยังเชื่อในค่านิยมเก่า ๆ ผู้หญิงต้องทำงานบ้าน แล้วก็ต้องช่วยงานนอกบ้านด้วย แต่การทำงานบ้านของเรามันไม่ได้อะไรนอกจากการโดนรุมใช้งาน,การถูกกีดกัน,แล้วก็การโดนบูลลี่ ทุกวันนี้เสียญาติผู้ชายยังหลอนหูอยู่เลย พิมพ์ออกมาแบบนี้ก็ดีอย่างตรงที่คนอื่นจะได้รู้ว่าไอ้เรื่องพวกนี้มันไม่โอเคเลยสักนิด แต่ข้อเสียที่ไม่รู้ว่าควรนับเป็นข้อเสียมั้ยก็คือ ถ้าญาติคนนั้นมาอ่าน เขาก็คงจะแค่หัวเราะแล้วรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเก่งที่เขามีอิธิพลแบบเล็กน้อยมาก ๆ กับเราได้
... แต่ในความเป็นจริงคือมันไม่ใช่อิธิพลอะไรหรอก มันเป็นแค่แผลเป็นในใจเหมือนตอนโดนหมากัดเป็นแผลเวอะหวะ พอรักษาแผลหายแล้วมันก็อาจมีลอยแผลเป็นที่อาจจะมาพร้อมกับอาการกลัวหมา แล้วพอเราโตขึ้นมากพอ เราก็เข้าใจว่ามันเป็นแค่ความทรงจำแย่ ๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย
... เกิดเป็นเราไม่ดื้อไม่ได้ ที่บ้านไม่ได้สนับสนุนให้เรียน แล้วก็อยากยัดเราเข้าโรงงานมากกว่ามหาลัย แต่เราที่เห็นมาทั้งชีวิตคือเงินค่าแรงขั้นต่ำในโรงงานมันเคยพอ มันไม่เคยพอดีกับความจำเป็น ไม่มีทางที่ใครจะรวยได้จากสิ่งนี้ แล้วในตอนนั้นเราคิดว่าคนแก่ทั้งหลายต้องกลายมาเป็นภาระเราแน่นอน และเราก็ไม่มีทางหาเลี้ยงพวกเขาได้ด้วยค่าแรงขั้นต่ำ ... ดีไม่ดีก็ไปทำงานยังไม่ได้เลยมั้ง ... เลยตัดสินใจเข้ามหาลัย แล้วหลังจากจบมหาลัยเราก็จะหนีจากตรงนี้ไปอย่างน้อยสามปี (ที่จะหายไปนี่ ไม่ได้มีแผนจะไปขายตัวนะ)
(คิดตามตรงนี้ หลายคนน่าเข้าใจว่าเราหนีอะไร หนีการเป็นทาสไร้ค่าที่ได้แต่คอยเช็ดขี้เหยี่ยวคนแก่ และไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลย มันเลวร้ายกว่าที่หลายคนจะคิดได้นะ เพราะในจุดที่ผู้ชายโง่ ๆ เป็นใหญ่แล้วผู้หญิงต้องกลายเป็นทาส มันจะไม่หมายถึงแค่ทาสแรงงานแต่เป็นทาสกามด้วย เราอาจจะไม่แย่ขนาดนั้น แต่มันไม่ต่างกันหรอก)
...เราเป็นพวกคิดแล้วก็ทำเลย เข้ามหาลัยก็ไม่ปรึกษาใครด้วย ตอนนั้นช่วยตาเฝ้าร้านขายของ เราก็ลงทุนด้วยไม่เอาค่าแรง แล้วพอตาเสียปุ๊บเราก็โดนญาติไล่ออกเลย ช่วงเวลานั้นก็คงจำไว้ชั่วชีวิตนั่นแหละ
..หลังจากนั้นก็ออกทำงานส่งตัวเองเรียนแบบสู้ตาย แล้วก็เกือบตายจริง ๆ เรื่องเรียนก็ต้องมีมาตรฐาน เรื่องงานก็เบาไม่ได้ อีเจ้านายเรานี่ก็เห็นว่าเราจำเป็นต้องยอม ก็เลยใช้กูใหญ่เลย ไอ้ฉิหาย!! (ก็เคารพอยู่หรอก แต่ของสักทีเถอะ) สุดท้ายก็เรียนไม่จบ
...เออ ดราม่าที่เรียนไม่จบนี่เราไม่ใช่ว่าไม่สะดวกใจจะพูด แค่ยังไม่พร้อมจะพูดเฉย ๆ รอพ่อกับแม่ตายก่อน รึถ้าโชคดีเราตายก่อนพ่อแม่ เรื่องมันก็จะแดงขึ้นมาเร็วหน่อย...
...แล้วก็เราคิดอยู่ตลอดนะว่าไอ้เรื่องทั้งหมดทั้งมวนที่เราเล่ามา บางที... ถ้าเรากู้ กยศ. ผ่านตอนเรียนมหาลัย มันก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ เราอาจจะได้เป็นนักเขียนการ์ตูนตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยแล้วก็คงไม่ต้องไปทำงานที่มันหนักขนาดนั้นด้วย แต่มันก็คงน่าเสียดายด้วย เพราะงานร้านอาหารที่แรกที่เราได้ทำนั่นคือที่ที่ดี แต่เรื่องทั้งหมดนี้มันก็ผ่านมาแล้ว และมันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากความเสียดาย
... เราไม่ได้อยู่ข้างการยกเลิกหนี้ กยศ. หรอกนะ เราอยู่ข้างการเรียนฟรี และถ้าการเรียนมันเป็นเรื่องที่ฟรี การกู้เงินเรียนมันก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น... ถูกมั้ย และการเรียนฟรีมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ... เราก็คิดดูแล้วว่าระหว่างเรียนฟรีกับกู้เงินเรียน เรียนฟรีก็ดีกว่าแน่นอน
...ถ้าเราเรียนจบมาโดยที่เราไม่มีหนี้ เราก็ไม่ต้องมาหวาดผวากับการที่อยู่ดี ๆ ก็คนมารัฐประหารยึดอำนาจ หรือเจอโรคระบาดจนเศรษฐกิจพัง หรือสงคราม ... คิดว่ามันจะเป็นสังคมที่มีความสบายใจกว่าตอนนี้มั้ยล่ะ
...แล้วข้อดีของโลกที่เรียนฟรีได้ คือคนที่อยากเรียนก็จะได้เรียน ส่วนคนที่ไม่อยากเรียน สุดท้ายมันก็น่าจะต้องมาเรียนอยู่ดี แล้วเมื่อคนเรียนหนังสือกันเป็นปกติ คนมันก็จะเรียนตาม ๆ กันไป ทีนี้นะ..ไอ้มุกต่าง ๆ ที่เอาสาดใส่กันในช่องคอมเมนต์มันก็จะต้องมีมุกทางวิชาการเยอะมาก ...
...เราลองนึกดูเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดโลกมันเรียนฟรีมาตั้งแต่แรก ป่านี้เราจะเป็นยังไง เราอาจจะมีหุ่นยนต์เป็นแรงงานมานานแล้วก็ได้ หุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็กอย่างโดราเอมอนงี้!! แล้วตัวเราตอนนี้ก็อาจจะเป็น ดร.ท่ามกลาง ดร. อีกหลายพันล้านคน และก็คงจะเป็น ดร. ที่มีคุณภาพมาก ๆ .....แต่ไอ้ยุคสมัยแบบนี้มันก็มาไม่ถึงสักที(เนาะ)
... อันนี้พิมพ์ดักเสียงเหยียดเอาไว้ก่อนแล้วกัน ว่าเราจะมีปัญญาเรียนได้ถึงระดับ ป.เอก เลยเหรอ ... เราก็บอกเลยว่า ที่ยังไปไม่ถึงก็เพราะไม่มีตังค์ค่ะ ไอ้ที่เรียนตอนนั้นไม่จบนั่นก็เพราะไม่มีตังค์ ถ้าเราเกิดมารวยแต่แรกแล้วพ่อแม่อยากส่งให้เรียนแบบไม่ต้องทำงานหนักเลย ป่านี้ก็จบแล้ว แต่ทุกวันนี้คือ...มานังเรียนออนไลน์เอา ...
... ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเราไม่ใช่คนขยันเรียน ออกจะขี้เกียจด้วยซ้ำ แต่เราจะเรียนอยู่ตลอดค่ะ และคิดว่าจะเรียนไปจนวันตาย สาเหตุก็อาจจะเพราะปนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่ารำคาญละมั้ง คือเห็นพวกพี่น้องผู้ชายที่เคยตั้งหน้าดูถูกเราอย่างเอาเป็นเอาตายได้รับการสนับสนุนจนเรียนจบ (แต่ก็ไม่ยอมรับกันด้วยนะว่าได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น) ส่วนเราที่พยายามหนักมาก มีคนมาทำท่าช่วยอยู่ แต่ช่วยแบบคำนวนแล้วว่ากูน่าจะไม่รอด แล้วก็เอามาเป็นบุญคุณทับกูอีก แบบนี้มันน่าเจ็บใจเอาเรื่อง
...การที่เห็นคนเรียนจบ ในกรณีที่เป็นคนแปลกหน้าเราก็เลื่อนผ่านค่ะ ถ้าเป็นคนรู้จักก็จะแสดงความยินดี และถ้าเป็นคนที่เราเกลียด (เรามีเหตุผลที่เกลียดเสมอ) เราก็ไม่มีทางยินดีหรอก ยอมรับในความเป็นจริงเถอะว่าคนเรามันจะรู้สึกยินดีจริง ๆ ก็ต่อเมื่อตัวเองประสบความสำเร็จ ...
*ศัตรูประสบความสำเร็จ ชีวิตกูก็ไม่ได้ดีขึ้น คนทั้งโลกประสบความสำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตกูจะดีขึ้น แต่ถ้ากูประสบความสำเร็จ นั่นต่างหากที่แปลว่าชีวิตกูจะดี เพราะงั้นความสำเร็จของคนอื่นจึงไม่มีวันน่าภาคภูมิใจเท่ากับความสำเร็จของตัวกูเอง*... คนเราส่วนใหญ่เป็นแบบนี้
...ตอนนี้เราเลยคิดว่าถ้าเรียนให้สูงกว่าไอ้พวกเหี้ยนี้แล้ว บางทีเราก็อาจจะเกลียดพวกมันน้อยลงก็ได้ นี่แหละเหตุผลหลัก (เรียนแม่งซะจะได้เลิกหงุดหงิดรำคาญตัวเอง)
...ใบปริญญา มันก็มีประโยชน์ตรงที่เอาไว้ปาหน้าคนที่ถามเท่านั้นแหละค่ะ ก็เราไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่คนที่มุ่มมั่นจะไปเป็นพนังงานที่ไหน ถ้ามีคนจะให้ไปทำงานให้ก็อาจจะไป แต่คนที่มาหาเพื่อจะจ้างงานเราเขาก็คงไม่ขอดูไอ้ใบนี่หรอกมั้ง เพราะงั้นมันก็คงจะมีประโยชน์กับเราแค่นั้นแหละ
...ส่วนความรู้ที่ได้มา เราก็เอามาใช้ประโยชน์ได้อยู่ เอามาทำของเล่นมั้งเอาไปใส่ในนิยายมั้ง ก็สนุกดี ! ... ออ ใช่ หนึ่งในอาชีพเราก็คือนักเขียนนิยาย แต่..!!อย่าเพิ่งมู่ลี่นักเขียนนิยายเชียว เราขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเขียนนิยายได้
...คนจะเขียนนิยายได้ก็คือคนที่...ยากเขียนนิยายแล้วลงมือเขียนจริง ๆ ...แต่ไม่ใช่ไปเขียนนิยายใส่ชีวิตคนอื่นนะ อันนั้นแย่เกิน...โลกนี้มีคนอยากเขียนนิยายเยอะค่ะ และที่อยากเขียนแต่ไม่เขียนสักทีก็เยอะ ที่เขียนแล้วไม่จบสักเรื่องก็มี เขียนจบแล้วดีหรือไม่ดีก็อีกเรื่องนึง
... แล้วโลกก็มีคนที่ไม่สามารถเป็นนักเขียนนิยายได้เลยอยู่ด้วย คนประเภทนี้ก็คือคนที่ไม่อยากเขียนนิยายค่ะ แล้วก็ต้องไม่มีใครไปบังคับให้เขาเขียนด้วยนะ...
...เออ... มาจบด้วยนิยายได้ยังไงล่ะเนี่ย ... จบด้วย กยศ. ก็แล้วกัน ... เราก็ยังมีหนี้ กยศ. อยู่นะ น่าจะเหลืออยู่ห้าพันกว่าบาท และกว่าเขาจะสู้จนหนี้ กยศ. ถูกยกเลิกได้ เราก็คงใช้หนี้หมดแล้วล่ะ เพราะงั้น สู้ ๆ กันนะ ... ทางนี้ก็รอเรียนออนไลน์ฟรีอย่างเดียว
....(ขี้เกียจอ่านแก้คำผิดจังเลย ขออภัยในคำผิดด้วยนะ)
...อันนี้แถมละกัน บังเอิญไปเจอมา ก็คิดว่าน่าสนใจนะ และอยากเรียนเชิญสลิ่มทุกท่านมาก ๆ ว่าช่วยเอาข้อมูลไปเถียงกับเขาหน่อย มีตรงไหนที่คิดว่าเขาผิดก็ลองไปเถียงกับเขาดู
โฆษณา