3 ก.ย. 2022 เวลา 23:00 • ข่าวรอบโลก
ครั้งนี้ เราจะเล่าให้ฟังถึงการตามล่า “ไอ้เหมียว” ฉายาของคนร้ายที่บุกเข้าไปยังที่พักของผู้หญิงมากกว่า 36 คน เพื่อข่มเหงพวกเธอ โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 15 ปีถึงจะจับตัวมาลงโทษได้ เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันนะคะ ว่า ทำไมเราจึงเรียกคนร้ายว่า “ไอ้เหมียว” และตำรวจจับกุมสำเร็จได้อย่างไร
คดีนี้ต้องย้อนหลังไปในปี 1987 โน่นเลยค่ะ ในตอนดึกของวันที่ 17 กรกฎาคม Dominique กำลังนอนหลับอย่างสบายในบ้านกับลูกสาววัย 6 ขวบที่เมือง Arcachon เมืองตากอากาศที่เงียบสงบทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส จู่ๆ เธอก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยชายคนหนึ่งในเวลาประมาณตี 2 - ตี 3 คนร้ายจับเธอมัดมือไว้ข้างหลัง และบอกให้เธอเอายาเสพติดให้ แต่เธอบอกว่า เธอไม่มี คนร้ายจึงเดินไปค้นในบ้านโดยไม่ได้เปิดไฟ
เธอเล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นการโจรกรรม แต่สุดท้ายคนร้ายเดินกลับมาบังคับให้เธอมีความสัมพันธ์ด้วย เธอกลัวมากและยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวที่นอนหลับห่างออกไปเพียง 50 ซม. เธอจึงจำใจยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ระหว่างนั้น เธอปลดเชือกที่ผูกข้อมือไว้สำเร็จและเสนอกับคนร้ายว่าจะไปเอาบัตรเครดิตที่อยู่อีกห้องมาให้แลกกับชีวิตของเธอและลูก แล้วเธอก็หาจังหวะเปิดหน้าต่างบานหนึ่ง โยนลูกสาวออกไปก่อน จากนั้นเธอก็กระโดดตามออกไปทางหน้าต่างเพื่อหนีจากคนร้ายได้สำเร็จ
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอจึงไปแจ้งตำรวจ 3 วันต่อมา ตำรวจจับกุมชายไร้บ้านวัย 25 ปี ที่มีปัญหาทางจิตและเคยต้องคดีเกี่ยวกับยาเสพติดได้หนึ่งคน Dominique ถูกเชิญไปชี้ตัวคนร้าย แต่เธอบอกกับตำรวจว่า ไม่สามารถชี้ตัวคนร้ายได้เพราะเหตุเกิดท่ามกลางความมืดสนิท เธอจึงไม่เห็นหน้าคนร้าย รู้เพียงแต่ว่า คนร้ายมีรูปร่างสันทัดและผมหยิกเล็กน้อย แต่ตำรวจมั่นใจว่า ชายไร้บ้านคือคนร้ายแน่ๆ จึงได้ยุติการสืบสวน
หลังจากนั้น 10 เดือน คดีนี้ก็ถูกยกฟ้อง ชายไร้บ้านก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า เขาคือคนร้าย
8 เดือนต่อมาในเดือนมีนาคม หญิงสาวที่อาศัยอยู่คนเดียวไม่ไกลจากบ้านของ Dominique ถูกข่มเหงในลักษณะเดียวกันเป็นคนที่สอง ครั้งนี้คนร้ายตัดไฟ ตรงเข้าไปปลุกหญิงสาว และบอกว่า เพิ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ ก่อนที่จะมัดมือหญิงสาวไว้ข้างหลังและลงมือขืนใจเธอ ครั้งนี้คนร้ายหยิบเงิน 10 ยูโร หรือประมาณ 350 บาท ในกระเป๋าสตางค์ของเธอก่อนจะหนีไป
1
พอเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน หญิงสาวคนที่สามก็ถูกทำร้าย เธออาศัยอยู่บนชั้น 2 ของอพาร์ตเม้นแห่งหนึ่ง ตำรวจมาที่ที่เกิดเหตุเพื่อหาหลักฐานและเก็บคราบอสุจิไปตรวจสอบ และพบว่า คนร้ายตัดไฟฟ้าก่อนก่อเหตุเช่นกัน
สองปีผ่านไป หญิงสาวคนที่สี่เข้าแจ้งความว่ามีคนร้ายเข้าไปข่มเหงเธอกลางดึก แต่เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นห่างจาก 3 คดีแรกค่อนข้างมาก ตำรวจจึงไม่คิดเลยว่า ทั้ง 4 คดี เป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน เราต้องรอถึงปี 1994 หรือ 7 ปีหลังเกิดคดีแรก และมีหญิงสาวถูกทำร้ายเพิ่มขึ้นอีกถึง 4 คน ในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน ตำรวจถึงเริ่มเอะใจ เพราะพบว่า ในทุกคดี คนร้ายจะตัดไฟฟ้าในบ้านของผู้เสียหาย
ซึ่งการเข้าไปตัดไฟในเวลากลางคืนโดยที่ไม่เดินชนอะไรให้เกิดเสียงเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ เพราะมิเตอร์ไฟฟ้าของแต่ละบ้านตั้งอยู่ในที่ต่างๆ กัน เช่น บางบ้านอาจจะอยู่ในห้องใต้ดิน บางบ้านอาจจะอยู่ในห้องครัว นอกจากนั้น ก็ยังพบสิ่งที่คล้ายกันในทุกคดี คือ คนร้ายลงมือในตอนกลางคืน ใช้เชือกมัดมือเหยื่อไว้ด้านหลัง ทำให้เชื่อว่าเป็นการโจรกรรมก่อนที่จะลงมือล่วงละเมิดพวกเธอ ทุกอย่างเกิดขึ้นในความมืดและคนร้ายแทบไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย ด้วยเหตุนี้ตำรวจจึงเชื่อว่า เป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน
ด้วยพฤติกรรมและวิธีลงมืออย่างที่เล่าไปข้างต้นนี่เอง ที่ทำให้คนร้ายได้ฉายาว่า “Le Chat” ที่แปลว่า “แมว” ค่ะ เหตุที่เป็นแบบนี้ น่าจะมาจากการที่คนร้ายสามารถเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทางหน้าต่างหรือหลังคาได้อย่างเงียบมาก เงียบจนเจ้าของบ้านไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แถมยังสามารถเคลื่อนไหวในความมืดสนิทได้ โดยไม่ชนข้าวของที่ตั้งอยู่ เหมือนกับที่แมวทำได้ค่ะ
2
นี่ถ้าคนร้ายขนทรัพย์สินมีค่าติดมือกลับไปด้วย ทำให้คดีข่มขืนกลายเป็นคดีลักขโมย Le Chat ก็น่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า “ไอ้ตีนแมว” นะคะ แต่ในเมื่อคนร้ายไม่ได้มุ่งขโมยทรัพย์สิน เราขอเรียกว่า “ไอ้เหมียว” แทนละกันนะคะ ชื่อออกจะ “ละมุน” ไปสักหน่อย ถ้าเพื่อนๆ เห็นว่า มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่า ก็พิมพ์แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ใน comment นะคะ
นอกจาก “ไอ้เหมียว” แล้ว บางสื่อก็เรียกคนร้ายว่า “ไอ้แมงมุม” อันนี้คงมาจากการที่ต้องไต่ขึ้นไปตามผนังหรือกำแพงเพื่อเข้าไปในตัวบ้านผ่านทางหน้าต่างหรือหลังคานั่นเองค่ะ
มาถึงตอนนี้ตำรวจของเมือง Bordeaux ได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำคดีนี้ (ชื่อเมืองออกจะคุ้นๆ หูใช่ไหมคะ ใช่แล้วค่ะ เมืองนี้ก็คือเมืองผลิตไวน์ชื่อดังที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง)
คุณตำรวจเล่าว่า ในตอนแรกพวกเขาทราบแค่วันและเวลาเกิดเหตุ ผู้เสียหายแต่ละคนก็ไม่รู้จักกัน ไม่มีความเชื่อมโยงใด ๆ พวกเธออายุระหว่าง 30-54 ปี สีผมมีทั้งสีทองและสีน้ำตาล บางคนโสดบางคนแต่งงานและมีลูกแล้ว แถมยังประกอบอาชีพที่ต่างกันไป มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ ในวันที่เกิดเหตุพวกเธออยู่คนเดียวหรืออยู่กับลูกเพียงลำพัง ไม่มีผู้ชายอยู่ในบ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือ
แม้ตำรวจจะรู้แล้วคนร้ายคือคนเดียวกัน แต่เมื่อข้อมูลของผู้เสียหายค่อนข้างหลากหลาย ตำรวจก็เลยยังไม่รู้ว่า คนร้ายคือใคร และก็ไม่รู้ว่าจะไปสงสัยใครเป็นพิเศษ หลักฐานเดียวที่มี คือ DNA ที่พบใน 4 คดี เป็นของคนร้ายคนเดียวกัน แต่เมื่อนำไปตรวจสอบก็ไม่ตรงกับชื่อที่มีในระบบเลย
ตำรวจติดตั้งกล้องวงจรปิดตามถนนสายหลักของเมือง Arcachon เพื่อจับตาดูคนร้าย เรียกคนที่เคยมีประวัติในคดีล่วงละเมิดทางเพศมาสอบถาม เทียบเวลาที่คนเหล่านี้ถูกคุมขังกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่พบอะไร คนร้ายหายเข้ากลีบเมฆไม่ก่อคดีใหม่เป็นเวลาปีครึ่ง
และแล้วในวันที่ 5 กรกฎาคม 1996 ที่เมืองเล็กๆ ห่างจากเมือง Arcachon ไปไม่ไกล หญิงสาวคนหนึ่งถูกขืนใจ โดยที่ถูกมัดมือไว้ข้างหลัง และลูกสองคนของเธอนอนหลับอยู่ในห้องถัดไป ที่สำคัญบ้านของเธอถูกตัดไฟเหมือนกับหลายคดีก่อนหน้า
หลังจากนั้นในวันที่ 2 สิงหาคม และ 5 กันยายน หญิงสาวอีก 2 คนก็ถูกทำร้ายในลักษณะเดียวกันอีก แต่ตำรวจยังคงจับคนร้ายไม่ได้
ถัดไปไม่กี่วัน ในวันที่ 13 กันยายน Marie-Christine อาศัยอยู่กับลูกชายวัย 3 ขวบ ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงดังผิดปกติแต่เธอคิดว่าเป็นเสียงลูกชายของเธอที่นอนอยู่ห้องใกล้ ๆ กัน จึงได้ล้มตัวลงนอนต่อ แต่สักพักคนร้ายก็มายืนอยู่ที่ปลายเท้า เธอส่งเสียงร้องสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือจนทำให้คนร้ายวิ่งหนีไป
หลังจากนั้นเธอก็โทรแจ้งตำรวจ ตำรวจบอกกับเธอว่า คนร้ายคือคนที่ก่อเหตุข่มขืนต่อเนื่องที่ตามจับกุมมานาน เธอบอกกับตำรวจด้วยว่า คนร้ายสูงประมาณ 180 เซนติเมตร เป็นคนที่คล่องแคลว เพราะสามารถวิ่งหนีออกไปจากบ้านของเธอที่มีเฟอร์นิเจอร์วางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในความมืดโดนไม่ชนอะไรล้มเลย
10 ปีผ่านไปหลังจากเกิดคดีแรก ผู้เสียหายสามคนไม่ต้องการให้คดีนี้เงียบหาย พวกเธอจึงตัดสินใจให้ข้อมูลกับนักข่าว เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง คดีนี้ไม่เคยเป็นที่สนใจของสื่อเลย พวกเธอต้องการเตือนให้หญิงสาวคนอื่นๆ ระวังตัว
2
ในขณะที่ตำรวจกลับมองว่า การทำให้เป็นข่าวดัง จะทำให้ตำรวจทำงานยากขึ้น เพราะคนร้ายอาจเปลี่ยนวิธีการลงมือ และอาจมีคนอื่นลอกเลียนแบบวิธีการของคนร้ายก่อเหตุใหม่ๆ ขึ้นอีก
พอเป็นข่าว “ไอ้เหมียว” ก็เงียบหายไม่ก่อเหตุใหม่เป็นเวลา 2 ปี
จนถึงเดือนเมษายน 1999 มันได้ย้อนไปที่บ้านของ Marie Christine หญิงสาวที่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจนต้องหนีไปและเป็นคนที่ให้ข่าวกับสื่อ เพื่อลงมือสิ่งที่มันเคยเริ่มไว้ให้สำเร็จ แต่เธอได้ย้ายบ้านไปแล้ว หญิงสาวที่เป็นผู้อาศัยรายใหม่จึงตกเป็นเหยื่อของ “ไอ้เหมียว” แทน
บ้านของเหยื่อที่ "ไอ้เหมียว" ย้อนกลับมา
เมื่อ Marie Christine ทราบเรื่อง เธอเป็นกังวลและกลัวมาก เพราะรู้สึกว่า คนร้ายเฝ้าตามเธอ เธอต้องเปิดไฟนอนทุกคืน เปิดโทรศัพท์ไว้ที่เบอร์ฉุกเฉินก่อนจะนอน และกว่าจะข่มตาหลับได้ก็เป็นเวลาตี 5-7 โมงเช้าแล้ว
มาถึงตอนนี้ผู้พิพากษาไต่สวนได้ขอให้ Profiler หรือนักวิเคราะห์พฤติกรรมเข้ามาช่วย เพื่อหาว่า คนร้ายมีบุคลิกลักษณะอย่างไร และใช้วิธีการใดในการลงมือ และ Profiler ก็พบค่ะว่า “ไอ้เหมียว” จะออก “ล่าเหยื่อ” เลือกผู้หญิงที่อาศัยอยู่คนเดียวหรืออาศัยอยู่กับลูกเพียงลำพัง เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของพวกเธออยู่พักใหญ่ ก่อนจะลงมือทำร้ายพวกเธอตามที่เล่าไปข้างต้นค่ะ โดยบางครั้งก็จะเจาะรูที่หน้าต่างบ้านของผู้หญิงที่เป็นเป้าหมายเพื่อเฝ้าสังเกตก่อนจะลงมือก่อเหตุด้วยค่ะ
Profiler สรุปว่า คนร้ายเป็นคนที่ฉลาด เข้าสังคมเก่ง มีอาชีพที่สามารถออก “ล่าเหยื่อ” และมีเวลาไปเฝ้าติดตามชีวิตของหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายได้ ไม่ได้เป็นผู้ป่วยจิตเวช เขาเป็นคนปกติทั่วไปที่จะกลายร่างเป็น “ไอ้เหมียว” ตอนที่ออกล่าเหยื่อหรือลงมือทำร้ายเหยื่อเท่านั้น
ในขณะที่การสืบสวนคดีที่เกิดขึ้นที่เมือง Arcachon กำลังดำเนินไป ที่เมือง Hossegor เมืองตากอากาศที่เงียบสงบที่ตั้งอยู่ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและอยู่ไม่ไกลจาก Arcachon คุณตำรวจที่ชื่อว่า Jean Philippe Cheradame เพิ่งมาประจำการที่นั่น เขาไปรื้อแฟ้มคดีเก่าๆ และไปพบคดีข่มขืนที่ยังจับคนร้ายไม่ได้
คดีนั้นเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 เดือนก่อนหน้า หญิงสาวคนหนึ่งอาศัยกับลูกวัย 7 ขวบ ถูกขืนใจในบ้านพัก ท่ามกลางความมืดโดยที่คนร้ายทำทีเป็นขอเงินก่อนที่จะลงมือข่มเหงเธอเหมือนกัน เขาเชื่อว่าคดีนี้มีความเชื่อมโยงกับคดีของเมือง Arcachon จึงเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเอง และพบว่ามีคดีที่คล้ายคลึงกันอีก 4 คดีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1995-1998 ทุกคดีเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ช่วงใกล้สว่าง
และถ้าทฤษฎีของคุณตำรวจเป็นจริง นั่นแปลว่า คนร้ายได้ขยายพื้นที่ “ล่าเหยื่อ”ให้กว้างขึ้น ซึ่งก็หมายความว่า จะมีผู้หญิงตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีของทั้งสองเมืองจึงได้นำ DNA ของคนร้ายที่ก่อเหตุในแต่ละเมืองมาเปรียบเทียบกัน และผลก็ออกมาว่า คนร้ายเป็นคนเดียวกันจริงๆ
หลังจากนั้นไม่นานคุณลุงวัยเกษียณคนหนึ่งพบชายต้องสงสัยขับรถตู้ตระเวนไปมาในเมืองที่เขาอยู่และไปจอดเฝ้าดูวิลล่าหลังหนึ่ง คุณลุงเห็นท่าทีไม่น่าไว้ใจ ก็เลยจดทะเบียนรถและนำไปแจ้งตำรวจค่ะ แต่ตำรวจที่ได้รับแจ้งกลับไม่ให้ความสนใจกับข้อมูลดังกล่าว
ต่อมาได้เกิดเหตุข่มขืนขึ้นอีกครั้งในย่านหนึ่งของเมือง Hossegor ที่เคยมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง และไม่นานหลังจากนั้น ก็ยังคงมีผู้หญิงถูกทำร้ายในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก
มาถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้ง "หน่วยเฉพาะกิจ” รวบรวมเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายฝ่ายของเมือง Bordeaux และเมือง Pau เข้ามาช่วยกันทำคดี แต่ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
จนวันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์คนร้ายตรงเข้าทำร้ายหญิงสาวที่กำลังเดินกลับไปยังบ้านพักในเวลาใกล้สว่าง เธอร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ จนทำให้คนร้ายหนีไป ตำรวจเชื่อว่า คนร้าย คือ “ไอ้เหมียว” และนี่เป็นครั้งแรกที่มันก่อเหตุบนถนนสาธารณะไม่ใช่ในบ้านพักเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เนื่องจากเป็นเวลาใกล้จะเช้าแล้ว หญิงสาวจึงเห็นว่า ตาของคนร้ายมีสีฟ้า และมีการใช้เจลแต่งผม
“ไอ้เหมียว” ยังคงทำร้ายผู้หญิงที่เมือง Hossegor และ Arcachon อย่างต่อเนื่อง และถี่ขึ้น อายุของผู้เสียหายก็กว้างขึ้น โดยมีอายุสูงสุดถึง 78 ปี แต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้
ต้องรอจนถึง มกราคม 2002 ตำรวจถึงจะรู้ว่า “ไอ้เหมียว” คือใคร แต่ก็ไม่ใช่เพราะ DNA แต่เป็นเพราะมี 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน
เหตุการณ์แรก คือ มีชายคนหนึ่งไปแจ้งตำรวจว่าบ้านพักตากอากาศของเขาถูกงัดแงะแต่คนร้ายแทบไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย นอกจากรูปของน้องสาวที่ชื่อ Laure ที่หายไป ซึ่งเธอเคยถูกคุกคามทางเพศมาก่อน ตำรวจจึงรีบติดต่อหญิงสาวคนดังกล่าวไปทันที
เธอเล่าว่าเมื่อ 20 ปีก่อน เธอถูกชายคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกันลวงเข้าไปในป่า มัดมือเธอไว้ข้างหลัง เธอพยายามเอาตัวรอดด้วยการชวนคนร้ายคุยเรื่องต่างๆ รวมถึงพูดถึงแม่ของเขาอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จนคนร้ายเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายเธอ และคนร้ายก็จากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังเหตุการณ์นั้น เธอไปแจ้งตำรวจ และคนร้ายถูกจับในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่จึงคิดว่า คนร้ายในครั้งนั้นอาจจะคือ “ไอ้เหมียว” ที่ตามล่าตัวกันอยู่
เมื่อไปสืบค้นคดีดังกล่าว ก็พบว่า คนร้ายในคดีเมื่อ 20 ปีก่อน มีชื่อว่า Roland Cazaux ในตอนนั้นเขาอายุ 24 ปี ทำงานเป็นช่างในไซต์งานก่อสร้าง ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน เมื่อถูกจับกุม เขายอมรับเรื่องที่ Laure ไปแจ้งความไว้ และสารภาพด้วยว่าเขาเคยก่อคดีที่คล้ายๆ กันมาก่อนแล้ว 2 คดี เขาถูกตัดสินจำคุก 1 ปี สำหรับการล่วงละเมิดทางเพศทั้ง 3 คดีและถูกคุมประพฤติอีก 3 ปี
เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในปลายเดือนมกราคม 2002 หลังจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตีข่าวคดีการข่มขืนต่อเนื่องเป็นข่าวใหญ่ ทำให้คุณลุงวัยเกษียณที่เคยไปแจ้งตำรวจเรื่องชายต้องสงสัยที่ขับรถตู้สีขาวตระเวนไปมาเฝ้าดูบ้านต่างๆ เมื่อ 8 เดือนก่อน ติดต่อตำรวจไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คุณตำรวจให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ได้รับทันที พวกเขาทำทุกทางเพื่อให้รู้ว่าชายคนขับรถตู้สีขาวคือใคร
แล้วก็พบว่า ชายคนนั้น คือ Roland Cazaux
เมื่อสองเหตุการณ์นำไปสู่ชายคนเดียวกัน ตำรวจก็ตัดสินใจเข้าจับกุมเขาที่บ้านพักในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2002 และขอให้เขาไปตรวจ DNA ซึ่งเขาก็ยินดีไปแต่โดยดี
ระหว่างที่รอผล DNA ตำรวจก็เริ่มสอบสวน แต่เขาปฏิเสธทุกอย่าง จน 10 ชั่วโมง ผ่านไปผล DNA ออกมายืนยันว่า เขา คือ “ไอ้เหมียว” จริงๆ
หลังจากนั้น ตำรวจได้ไปขอค้นบ้านและพบเชือก กุญแจ บัตรผ่านเข้าออกอาคารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการแอบเข้าไปในบ้านผู้อื่นโดยไม่ต้องงัดแงะจำนวนหนึ่ง
คนที่ช็อคที่สุดเมื่อตำรวจแจ้งว่า Roland Cazaux คือ คนร้ายในคดีข่มขืนต่อเนื่อง ก็คือ ครอบครัวของเขาเองค่ะ เพราะขณะที่ถูกจับกุมเขาอายุ 42 ปี แต่งงานแล้ว และมีลูกชายเล็กๆ 2 คน ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทำงานเป็นโฟร์แมนบริษัทก่อสร้างที่ได้รับการยอมรับจากเจ้านายและลูกน้อง
จากการสืบสวนตำรวจพบว่า ตารางการทำงานของเขาสอดคล้องกับคดีที่เกิดขึ้นทั้งที่เมือง Arcachon และ Hossegor และก็เพราะอาชีพของเขานี่เองคะ ที่ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปในเมืองทั้งสองเพื่อ “เลือก” หญิงสาวที่โชคร้าย
เมื่อ “เลือก” ได้แล้ว เขาก็จะติดตามชีวิตพวกเธออยู่หลายวัน เมื่อสบโอกาสก็จะแอบเข้าไปในบ้านตอนที่พวกเธอไม่อยู่ เพื่อสังเกตว่าอะไรตั้งอยู่ตรงไหน ทำตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาจึงสามารถเดินในบ้านของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายได้โดยไม่เคยชนของในบ้านเลยแม้อยู่ในภาวะมืดสนิท และหญิงสาวทุกคนไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยจนกระทั่งเขาถูกจับกุม
เขาสารภาพว่า เขาได้ขืนใจหญิงสาวไป 16 ราย และพยายามจะล่วงละเมิดหญิงสาวอีก 20 คน แต่ไม่สำเร็จ และตำรวจก็พบด้วยว่า ตอนที่เขาถูกตัดสินข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเมื่อปี 1982 ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชได้เตือนให้ศาลทราบตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วว่า เขามีความเสี่ยงสูงมากที่จะกระทำผิดซ้ำได้อีก ซึ่งเขาก็ได้ทำจริงๆ ไม่ผิดจากที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนไว้เลย และมีผู้เสียหายถึง 36 คน !!!
ในวันพิจารณาคดี (28 พฤศจิกายน 2005) เขากล่าวต่อศาลว่า เขาต้องการปรับปรุงตัวและได้แสดงความเห็นใจต่อผู้เสียหายที่ได้ทำไม่ดีกับพวกเธอไว้
ศาลได้เรียกภรรยาของเขาขึ้นให้การเป็นพยานด้วยนะคะ เธอกล่าวกับเขาว่า เขาทำลายชีวิตของเธอและลูก ผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณาวันนั้นคิดว่า เธอคงจะเสียใจมาก เพราะ Roland Cazaux ก่อคดีแรกในปี 1996 ซึ่งเป็นปีที่เขาแต่งงานกับเธอ ปัจจุบันเธอและลูกชายทั้ง 2 คน ได้เปลี่ยนชื่อและย้ายไปใช้ชีวิตในต่างประเทศค่ะ
สุดท้ายในวันที่ 16 ธันวาคม 2005 ศาลตัดสินจำคุกเขาเป็นเวลา 14 ปี โดยไม่สามารถได้รับการพักโทษก่อน 10 ปี และหากได้รับการพักโทษแล้วก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรการการกลับสู่สังคมตามที่ศาลกำหนด อีกเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งรวมถึงการเข้ารับการบำบัดด้วยนะคะ นอกจากนี้ เขายังถูกห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองที่เขาได้ก่อเหตุไว้เป็นเวลา 10 ปี ค่ะ
ล่าสุด เขาถูกปล่อยตัวออกมาแบบมีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012
ในตอนที่เขียนนี้ เป็นวันที่มีข่าว ศาลไทยมีคำพิพากษาจำคุกหัวหน้า รปภ. ที่ก่อเหตุข่มขืนหญิงสาวลูกบ้านคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านเพชรเกษมเป็นเวลา 10 ปี 10 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 5 ปี 5 เดือน 10 วัน โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งในคดีนี้จำเลยก็เคยก่อเหตุมาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นการลงโทษคนร้ายที่เคยก่อคดีทางเพศมาก่อนของทั้งสองประเทศแล้ว ก็มีความรู้สึกที่หลากหลายนะคะ คนทำผิดถูกจำคุกไม่ทันไรก็ได้ “ก้าวออก” จากเรือนจำแล้ว แต่ผู้เสียหายกลับไม่สามารถ “ก้าวออก” จากความทรงจำที่โหดร้ายได้เลย และผู้หญิงทั้งหลายก็ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ปลอดภัย เพราะไม่รู้เลยว่า คนร้ายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาจะกลับมาทำผิดซ้ำอีกเมื่อไหร่
ในเมื่อกฎหมายไม่สามารถคุ้มครองเราได้อย่างเต็มที่จากภัยสังคมประเภทนี้ เราก็ต้องดูแลตัวเองกันให้ดี ๆ นะคะ
ใครที่สนใจอยากรับชมแบบเป็นคลิปสามารถติดตามได้ที่ Link นี้เลยนะคะ https://www.youtube.com/watch?v=sgTNtwjkhAI
สำหรับวันนี้ขอลาไปด้วยคำกล่าวของ Albert Schweitzer อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ แพทย์และนักปรัชญาผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้ยามที่เหนื่อยล้าจากเรื่องแย่ๆ ที่ว่า
“สองสิ่งที่ช่วยให้รอดจากความทุกข์ยากของชีวิต นั่นคือ ดนตรีและแมว”
ดูคลิปนี้จบแล้ว ไปเปิดเพลงฟังและเล่นกับ “เจ้าเหมียว” กันให้เพลิดเพลินนะคะ
1
โฆษณา