6 ก.ย. 2022 เวลา 02:31 • ความคิดเห็น
อดีต CEO ของ GE
Work-Life Balance ไม่มีอยู่จริง
Jack Welch
สมัยที่ผมเรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมือง Cambridge รัฐ Massachusetts ในปี 2007 ทางมหาวิทยาลัยมักจะเชิญ​ speaker มากหน้าหลายตา มาให้ความรู้มาให้แรงบันดาลใจนักศึกษาอยู่เป็นระยะๆ หนึ่งใน speaker ที่ทุกคนตั้งตาคอย และอยากฟังเรื่องราวจากปากเขามากๆ ก็คือ อดีต CEO ของ GE นามว่า Jack Welch
ในยุคของผม Jack Welch โด่งดังมาก หลังจากที่เขาลงจากการเป็น CEO ของ GE เขาก็ผันตัวมาให้ความรู้ทางด้านการบริหารจัดการ และเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม แต่หากเอ่ยชื่อ Jack Welch ตอนนี้ เด็กรุ่นใหม่คงงง ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร น่าจะรู้จักกันแต่ Jeff Bezos, Elon Musk หรือ Mark Zuckerberg
Jack Welch พูดหลายเรื่องในวันนั้น แต่ที่ผมจำได้ขึ้นใจ ผ่านมา 15 ปีแล้ว ก็ยังจำได้ คือตอนที่ Jack ตอบคำถามของนักศึกษาท่านหนึ่งที่ถามว่า เขาดูแลเรื่อง Work-Life Balance ของตัวเองอย่างไร? เรียกว่าเป็นคำถามคลาสสิคของมนุษย์ MBA เหมือนจะรู้อนาคตว่าตัวเองจะต้องทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพื่อไขว่คว้าหาความสำเร็จ
Jack ตอบทันควันว่า “No such things as Work-Life Balance. There are work-life choices, and you make them, and they have consequences.”
“มันไม่มีหรอกไอ้ที่เรียกว่าความสมดุลย์ระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน มันมีแต่ว่าคุณจะเลือกให้นำ้หนักชีวิตส่วนตัวและการทำงานของคุณอย่างไร เมื่อคุณเลือกแล้ว คุณก็ต้องยอมรับผลของมัน”
ตอนนั้นผมเองก็อายุเพียง 20 ปลายๆ ทำงานมาได้ไม่ถึง 10 ปี แต่ได้ฟังประโยคนี้ก็รู้สึกว่าจริงมากๆ แต่ยังไม่ซาบซึ้ง ตราบจนมาตอนนี้ 40 ต้นๆ ผมคิดว่าเข้าใจประโยคนั้นมากขึ้นอีกหลายเท่าเลยทีเดียว
มองไปรอบกาย ผมเห็นพี่น้อง เพื่อนฝูงที่มีความทะเยอทะยานแตกต่างกัน มีความมุ่งมั่นในการทำงานแตกต่างกัน มีการให้เวลากับชีวิตในเรื่องต่างๆ แตกต่างกัน ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่จะมีทางเลือกของตัวเองทั้งสิ้น
ผมเห็นหลายคนที่ตั้งเป้าหมาย อยากจะพาตัวเองขึ้นไปให้สูง ไต่เต้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในองค์กร หรือแม้แต่กระทั่งผู้ประกอบการที่ตั้งเป้าว่าตัวเองจะต้องมีธุรกิจใหญ่ระดับร้อยล้าน พันล้าน คนเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกัน คือเขาทำงานหนักมาก หนักซะจนแทบไม่มีที่ว่างในสมองให้คิดถึงเรื่องอื่นนอกจากงาน เวลาในหนึ่งวันของเขาหมดไปกับการทำงาน แต่ก็นั่นแหละมันอาจจะเป็นความสุขของเขาก็ได้ที่ได้ทำงาน ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นนอกจากงานให้วุ่นวายใจ
หลายคนก็เลือกที่จะชิล เลือกที่จะทำงานอย่างพอเพียง ไม่ต้องขึ้นไปสูงก็ได้ ขอแค่ให้อยู่ในระดับที่พอกินพอใช้ ยามเจ็บป่วย แก่ตัวลงไป ก็แค่ให้พอมีเงินรักษา ประคองชีวิตไม่ให้เป็นภาระไปจนกระทั่งที่ต้องลาจากโลกนี้ไป คนเหล่านี้อาจจะไม่ได้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงในองค์กร หรืออาจจะไม่ได้มีเงินในกระเป๋าร้อยล้าน พันล้าน ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด
หากคุณเลือกความสำเร็จอย่างสุดโต่ง แน่นอนว่าราคาที่คุณต้องจ่าย ก็อาจจะเป็น เวลาที่คุณจะได้เล่นสนุกกับลูก เวลาที่คุณจะได้นอนดู Netflix ชิลๆ หรือเวลาที่คุณจะได้ไปออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจตามประสาที่มนุษย์พึงมี
หากคุณเลือกใช้ชีวิต คุณก็อาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ไม่มีอำนาจ ไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ได้มีเงินไปตีกอล์ฟ กินอาหารหรูๆ หรือขับรถราคาแพง
คุณอาจจะบอกว่าก็มีบางคนที่ได้ทั้งสองอย่าง ก็จริง ในภาพเปลือกนอกที่คุณเห็น อาจดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่จากประสบการณ์ที่ผมได้เจอคนมาหลากหลาย หาได้ยากมากที่คนๆ หนึ่งจะได้ทั้งสองอย่าง คุณต้องยอมสละหนึ่งอย่าง เพื่อได้อีกหนึ่งอย่างมา คุณผู้อ่านที่อยู่ในฐานะ
ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ คุณลองถามตัวเองดูก็ได้ ว่ามีกี่ครั้งที่คุณต้องเลือกงาน แทนที่จะต้องเลือกครอบครัว เลือกที่จะเดินทางไป business trip แทนที่จะไปเที่ยวกับครอบครัว เลือกที่จะต้องประชุมดึกดื่น แทนที่จะได้ทานข้าวกับภรรยาและลูก หรือเลือกที่จะต้องนอนดึกประชุมกับต่างประเทศ แทนที่จะได้ตื่นเช้าออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะ
หลายครั้งผมเห็นบรรดากูรู ต่างออกมาบอกว่า เราต้องเป็นคน productive เราต้องประสบความสำเร็จ เราต้องมี growth mindset เราต้องเก่งขึ้น ดีขึ้นทุกๆ วัน เราต้องมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก เราต้องให้คนมายกยอว่าเราเก่ง เราต้องรวย มีเงินมีทรัพย์สินเยอะๆ เราถึงจะมีความสุขในบั้นปลาย ผมก็ถามตัวเองทุกครั้ง ว่าเราต้องการขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?
บางครั้งการหยุด ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทะเยอะทะยาน มีชีวิตธรรมดาๆ ใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะใช้ ไม่ต้องไปตามคำใคร มันก็มีความสุขได้มากเหมือนกัน
อย่างที่ Jack Welch ว่า อย่าพยายามไปหาความสมดุลย์ของชีวิตส่วนตัวกับงานเลย คุณต่างหากที่ต้องเลือก ว่าคุณจะให้น้ำหนักกับสิ่งไหน ..
#KnowledgeSpiral
โฆษณา