Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
dhamma Easy
•
ติดตาม
6 ก.ย. 2022 เวลา 09:41 • การศึกษา
หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า
หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า, ความประมาทในชีวิต
ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์นั้น พระองค์ทรงกระทำแต่ความดีมาตั้งแต่เกิด สร้างบารมีอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งหมดอายุขัย ตลอดระยะเวลา พระองค์ไม่เคยละเลย การฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ด้วยการเจริญภาวนา ทรงทำอย่างนี้ทุกภพทุกชาติ จนบารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระบรมครูของโลกได้ในที่สุด
พระพุทธองค์ ทรงเปรียบชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า .. "หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ยามต้องแสงอาทิตย์อุทัย ย่อมเหือดแห้งหายไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถูกความแก่ ความเจ็บ และความตายเผาผลาญไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันนั้น"
ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครจะเอาชนะพญามัจจุราชได้ พอลืมตาขึ้นดูโลก ชีวิตก็บ่ายหน้าไปหามฤตยู เหมือนดวงอาทิตย์เมื่อโผล่พ้นขอบฟ้า แล้วก็มุ่งหน้าสู่อัสดง
แต่ความสั้นยาวของชีวิต แต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่า ชีวิตเราจะดับลงในวันใด เหมือนดวงประทีปตั้งอยู่กลางสายลม บางคนจบชีวิตลงในวัยเด็ก บางคนจบชีวิตลงในวัยหนุ่มสาว บางคนจบชีวิตในวัยชรา
เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นเตือนสติตัวเราเองบ่อยๆ เพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต จงมองสังขารร่างกาย เหมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ที่ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ในไม่ช้าก็ต้องเหือดแห้งไป ชีวิตเราก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุดเช่นนั้น
เราไม่อาจรู้ได้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร เพราะชีวิตนี้เป็นของน้อยนิด ควรรีบเร่งทำความเพียร สร้างความดีสั่งสมบารมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อชีวิตของเราจะได้ ปลอดภัย แม้ประสบทุกข์อันใหญ่หลวง เราย่อมจะสามารถ ผ่านพ้นไปได้ ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาดีแล้ว
ความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต
ในสมัยพุทธกาล มีลูกสาวเศรษฐีท่านหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี มีรูปร่างสวยงามมาก บิดามารดาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ มดไม่ให้ไต่ ไรไมให้ตอม
ต่อมานางไปชอบพอกับคนใช้ของตัวเอง แล้วพากันหนีออกจากบ้านไปอยู่ในป่า ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ตามธรรมเนียมในสมัยโบราณ ผู้ที่จะคลอดบุตรต้องกลับมาคลอดที่บ้าน นางจึงขออนุญาตสามี ขอกลับไปคลอดที่บ้าน แต่สามีไม่ยอม เพราะกลัวจะถูกพ่อของนางลงโทษ
เช้าวันหนึ่ง นางจึงตัดสินใจหลบหนีสามี เดินทางกลับบ้านเกิด แต่ได้คลอดบุตรในระหว่างทาง เมื่อสามีทราบได้รีบตามไป พบว่านางคลอดบุตรแล้ว จึงพากันเดินทางกลับไปที่บ้านในป่าดังเดิม
ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้อีก แต่ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตของ ลูกสาวเศรษฐี นางตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ได้หลบหนีสามีไป หวังจะกลับบ้านเกิด โดยพาลูกชายคนแรกไปด้วย ฝ่ายสามีก็ได้ติดตามไปจนทัน
คืนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ฝนฟ้าตกกระหน่ำอย่างหนัก ในขณะนั้นเอง นางปวดท้องใกล้จะคลอด จึงให้สามีไปหากิ่งไม้ ใบไม้มาทำที่กำบังฝน ฝ่ายสามีได้ถือมีดเดินเข้าไปในป่าเพื่อตัดกิ่งไม้ เมื่อไปถึงจอมปลวกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของงูพิษ ทันใดนั้นงูพิษได้เลื้อยออกมาฉกสามีของนาง ซึ่งมัวแต่สาละวนหากิ่งไม้อยู่ เขาได้ล้มลงถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง
ธิดาเศรษฐีปวดครรภ์อย่างหนัก จะหันหน้าไปทางไหนก็ไม่พบสามีหรือใครๆ ที่พอจะเป็นที่พึ่งได้ ในที่สุดนางได้คลอดบุตรชายออกมาอีกคนหนึ่ง
ขณะเดียวกันฝน ก็เทกระหน่ำ เด็กทั้ง ๒ คนต่างส่งเสียงร้องห้กันจ้าละหวั่น ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักอยู่นั้น นางได้คุกเข่า พร้อมกับใช้มือทั้ง ๒ ข้างค้ำลงบนพื้นดิน เพื่อกำบังฝนให้ลูกทั้งสองคน พอรอดพ้นจากสายฝนไปได้บ้าง
ครั้นรุ่งเช้านางจึงได้พาลูกทั้งสอง ระหกระเหินไปตามหาสามี จนพบศพสามีที่จอมปลวก นางได้แต่เสียใจร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญถึงสามี
ขณะที่ใจยังไม่คลายโศก นางได้ออกเดินทางต่อ โดยจึงจูงลูกชายคนโต และอุ้มลูกชายคนเล็กที่ยังเป็นทารกอยู่ เดินไปจนถึงฝั่งแม่น้ำ นางพาลูกข้ามไปทีละคน อุ้มลูกคนเล็กเดินฝ่ากระแสน้ำ ไปวางบนใบไม้ที่ริมฝั่งตรงกันข้าม แล้วเดินกลับมา เพื่อจะรับลูกอีกคนหนึ่ง
เมื่อเดินฝ่ากระแสน้ำไปได้ครึ่งทาง มีเหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นทารกตัวแดงๆ คิดว่าเป็นชิ้นเนื้อ เลยโผลงมาโฉบเอาทรกไป นางตกใจเป็นอย่างยิ่ง จึงร้องตะโกนและปรบมือขับไล่ด้วยเสียงอันดัง
ลูกชายคนโตเห็นอาการเช่นนั้นของนางแต่ไกล นึกว่าแม่กวักมือเรียก จึงเดินลงมาในแม่น้ำ และถูกกระแสน้ำพัดหายวับไปในบัดดลนั่นเอง
นางเห็นลูกน้อยทั้งสองหายไปต่อหน้าต่อตา จึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างสุดแสนทรมาน แต่ในที่สุดนางได้พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอยู่ ตะเกียกตะกายไปหาพ่อแม่
เมื่อเดินทางไปถึงบ้าน นางต้องตกใจเป็นที่สุดอีกครั้งเมื่อทราบว่าบ้านตัวเองถูกไฟไหม้ เพราะฟ้ผ่าเมื่อคืนนี้ พ่อแม่และพี่ชายเสียชีวิตหมดทั้ง ๓ คน
นางสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักพร้อมๆ กันถึง ๖ คน ชั่วเวลาเพียงคืนเดียว จึงเสียใจจนไม่สามารถตั้งสติอยู่ได้กลายเป็นหญิงเสียสติในทันใดนั้นเอง จากนั้นนางเที่ยวเดินคร่ำครวญหาผู้ที่ตายไปแล้วนั้น ด้วยอาการกระเชอะกระเชิง จนผ้าผ่อนท่อนสไบหลุดจากร่างกาย
ด้วยอำนาจบุญในอดีตที่เคยสั่งสมไว้ อีกทั้งความตั้งใจปรารถนา เป็นพระอรหันตสาวิกาผู้เลิศรูปหนึ่ง ธิดาเศรษฐีผู้มีทุกข์โศกที่แสนสาหัส ด้วยบุญบันดาลนำพานางไปพบพระบรมศาสดา ในขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ นางได้เดินตรงไปยังพระวิหาร แหวกกลุ่มมหาชนเข้าสู่ที่แสดงธรรม
สาธุชนทั้งหลายเห็นนางผู้เสียสติ เดินเข้ามาใกล้ต่างตวาดไล่ แต่พระศาสดาตรัสห้าม แล้วอนุญาตให้นางเดินเข้ามา นางตรงไปยังที่พระศาสดาประทับอยู่ เข้าไปนั่งคุกเข่าร่ำไห้ ณ ที่นั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "น้องหญิงเธอจงกลับได้สติเถิด"
ด้วยพุทธานุภาพ นางจึงกลับได้สติในทันที ความโศกค่อยๆ มลายหายไป พระศาสดาตรัสเทศนาสั่งสอน เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และขอบวชเป็นภิกษุณี ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางจึงได้ชื่อว่า "ปฏาจารา" ซึ่งหมายถึงผู้มีความประพฤติกลับคืนมาดังเดิม
วันหนึ่ง นางปฏาจาราภิกษุณี ได้เอาน้ำล้างเท้าราดลงบนพื้นดิน เมื่อราดครั้งแรก น้ำไหลไปได้เพียงหน่อยเดียวแล้วซึมหายไป ราดครั้งที่ ๒ น้ำไหลไปไกลกว่าครั้งแรก ราดครั้งที่ ๓ น้ำไหลไปไกลกว่าสองครั้งแรก ปฏาจาราภิกษุณี ถือเอาน้ำนั้นเป็นอารมณ์ พิจารณาว่า
"เหล่าสัตว์นี้ย่อมตายในปฐมวัย เหมือนน้ำที่เราราดไปครั้งแรก ตายในมัชฌิมวัย เหมือนน้ำที่เราราดครั้งที่ ๒ และตายในปัจฉิมวัย เหมือนน้ำที่เราราดไปครั้งที่ ๓"
พระศาสดาประทับนั่งที่พระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เหมือนกับปรากฎอยู่เบื้องหน้า ตรัสว่า "เป็นอย่างนั้นแล ปฏาจารา การมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว หรือขณะเดียว ของผู้เห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปของขันธ์ ๕ ประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิด และความเสื่อมของขันธ์ ๕"
นางปฏาจาราภิกษุณี ได้พิจารณาธรรมตามคำสอน ของพระพุทธองค์ไปตามลำดับ ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายได้ถูกส่วน ดำเนินจิตเข้าไปสู่ภายใน ในที่สุดได้บรรลุกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันตเถรีในขณะนั้นเอง ต่อมาภาย หลังพระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งให้นางเป็น "ภิกษุณี ผู้เลิศในด้านทรงจำพระวินัย"
ชีวิตเป็นของน้อย
เราจะเห็นว่าหากได้ใช้ปัญญา พิจารณาถึงจุดหักเหของชีวิต ตัดสินใจ และปฏิบัติให้ถูกต้อง ชีวิตของเราย่อมสามารถผ่านพ้นห้วงแห่งความทุกข์ไปได้ ชีวิตของเรานั้นเปราะบางยิ่งนัก หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย
แม้จะพยายามประคับประคองอย่างดี ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องแก่ ต้องเจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย ชีวิตเราตั้งอยู่ได้ไม่นาน เหมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า เมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้า ก็พลันเหือดแห้งหายไปอย่างรวดเร็ว
ตามธรรมดา สังขารร่างกาย เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากมีการสืบต่อกันรวดเร็วมาก เราจึงไม่ค่อยรู้ถึงการเกิดดับ และมองผิดว่าเป็นของเที่ยงจีรังยั่งยืน
เพราะสันตติคือความสืบต่อไม่ขาดสายมาบดบัง รักษารูปลักษณ์เอาไว้ ทำให้เกิดความประมาทลุ่มหลงในวัยและชีวิต กว่าจะรู้ว่าสังขารเสื่อมถอย ก็ย่างเข้าสู่วัยชราไปแล้ว ครั้นจะหันกลับมาทำความดี สร้างบุญบารมีให้เต็มที่ เหมือนเมื่อยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ไม่ได้ เพราะมันสายเกินไปเสียแล้ว
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจึงไม่ควรประมาท ให้หมั่นปฏิบัติธรรมกันอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน อย่าได้ขาด ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้ติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะมีภารกิจมากน้อยเพียงใดก็ตาม เราจะไม่เอาภารกิจเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้าง ทำให้เราสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงธรรม ให้ตั้งใจฝึกฝนใจ ให้หยุดนิ่งตลอดเวลาให้ได้
(วันจันทร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
รวมพระธรรมเทศนา๒ หน้า ๑๗-๒๗
ภาพจาก เพจการบ้าน
1
บันทึก
50
9
53
50
9
53
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย