6 ก.ย. 2022 เวลา 17:34 • ปรัชญา
เรื่องราวของการชำระสะสาง กาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศอารมณ์ มันจึงเป็นเรื่องของจิต ใช้กายวาจาใจ ที่ไม่มีเรื่องราวของอารมณ์เลย เป็นเรื่องของจิตมีธรรม จิตที่ถึงธรรม เรื่องกายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม ธาตุก็เป็นธรรม ปราศจากธุลีที่เป็นกรรม จิตนั้นก็เฉย เป็นปกติไม่มีอารมณ์ อารมณ์อะไรก็ไม่มีเลย เพราะจิตมันเฉย ร่างกายมีความเจ็บปวดอะไร จิตมันก็เฉย เหมือนแยกออกไปจากกาย กายส่วนกาย จิตส่วนจิต จิตก็อยู่กับกายไปจนหมดวาระเวลาที่กำหนด
เรื่องราวของจิต ..บางครั้ง การที่เราทำสมาธิ จิตเป็นสมาธิ จิตมันก็ว่าง ไม่มีอารมณ์อะไร ปรุงแต่ง กายก็นิ่ง จิคก็นิ่ง อยู่เฉย เหมือนไม่มีตัวตนอะไร เพราะจิตมันว่าง ไม่มีความยึดถืออะไร เวทนากายมี แต่จิตมันก็ไม่ไปยึดกาย ให้มีทิฐิอารมณ์ขึ้นมาปรุงแต่ง มีผู้ที่เคารพนับถือท่านบอกว่า แสงของธรรม แสงของพระรัตนะ ก็ส่องเข้าไปในจิต ถ้าจิตไม่นิ่ง กายไม่นิ่ง แสงรัตนะก็ส่งเข้าไปไม่ได้ เพราะอารมณ์นึกคิดนั้นปกปิดจิต เป็นสีดำบดบังแสงรัตนะ ที่จะส่งเข้าไปสู่จิต
เรื่องที่เราใช้ชีวิตประจำ ต้องเจอสิ่งนั้นสิ่งนี้ วิญญาณทั้งหก ต้องสัมผัส สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ เราก็ใช้สติของเราพยายามบอกตัวเอง ทำจิตให้เหนือดีชั่ว ชั่วก็ไม่เอา ดีก็ไม่เอา คำติคำชมเอาก็ไม่เอา เรามีสติรับรู้เรื่องราวต่างๆ สัมผัสดีชั่วเป็นปกติ เราพิจารณา สัมผัสอารมณ์ กองไฟที่กระทบได้ เราก็ไม่เอา ทำจิตเหนือดีชั่วให้ได้ ที่เรียกว่ายกกาย ยกจิตให้สูงขึ้น หากเราเพียรกระทำ ให้จิตนี้รับรู้..ตื่นขึ้นมา รู้จักเรื่องนอกเรื่องใน ..
ไปเจอะเจอเรื่องร้อน จิตก็จะรู้ ..หาทางเรียบเรียงเหตุผล หาช่องทางกระทำเอาสิ่งที่กาย วิญญาณทั้งหก ไปสัมผัส สัมผัสแล้วมันก็ติด มากับวิญญาณทั้งหก เหมือนฝุ่นละออง ของสกปรก ..เมื่อเรานำกาย มากราบพระ เราก็เอาคำพูด สูงๆ ที่เป็นปิยะวาจา ..พูดให้หูเราได้ยินเสียงที่เป็นปิยวาจาของเราเอง พูดให้หูเราได้ยิน เพื่อจะได้ไปขจัดสิ่งที่สกปรกเป็นฝุ่นละอองติดตัวเรามา เรื่องของปิยวาจา เรื่องการกราบพระ การสวดมนต์ด้วยจิต เราก็กระทำขึ้นเพื่อช่วยจิตของเรา ขจัดสิ่งที่เรียกฝุ่นผงสกปรกออกไป
การฝึกเอาจิตมากราบพระ
เรานำกายมาอยู่หน้าพระ นั่งพับเพียบให้เรียบร้อย สำรวจตรวจสอบตัวเอง ทำกายให้ตรง ให้เข้มแข็ง จิตให้เข้มแข็ง มั่งคง เหมือนออกศึก วางมือที่เข่าทั้งสองข้าง นั่งนิ่งให้กายนิ่ง จิตนิ่ง จิตไม่มีอะไร พูดไปด้วยก็ดีมาก กายนิ่ง.. จิตเฉย.. ยกมือซ้ายขึ้นมา..มารดา ยกมือขวาขึ้นมาบิดา พนมมือที่หน้าอก ตาก็มองดูมือแม่มือพ่อที่พนม พูดว่า..จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่อยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดาของข้าพเจ้า จิตของข้าพเจ้ามีธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
หรือ จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดาของข้าพเจ้า จิตของข้าพเจ้าขอนำเรือนกายบิดามารดามากราบพระ พระพุทธเป็นที่พึง่ของข้าพเจ้า ก็กราบลงไป พระธรรม พระสงฆ์ เราพูดแล้ว ก็กราบ ตามองที่มือตลอดเวลา มือของพ่อแม่ที่เรานำมากราบ นั่นคือ การฝึกเอาจิตมากราบพระ มิใช่ใช้อารมณ์มากราบพระ
การที่ฝึกเอาจิตมากราบพระ ตาของเราหูของ ก็จะได้ บันทึกเรื่องราวของตัวเรา จิตของเราบันทึกเรื่องราวการกระทำที่ดี ส่งลงไปบันทึกที่ธาตุทั้งสี่ สิ่งที่ดีที่เรากระทำ จะไปช่วยชำระสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่กับธาตุทั้งสี่ที่เป็นฝุ่นละอองสะสมอยู่ ให้ค่อยๆออกไปๆ เราทำเป็นนิจสิน..จิตเราก็จะมีความเข้มแข็งขึ้น สติของจิตก็เข้มแข็งขึ้น
เราหมั่นกระทำ ..แล้วสังเกตุจิตใจของเรา สำรวจตรวจสอบตัวเอง ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไร เราก็ต้องหมั่นสังเกตตัวเองด้วย จะได้รู้จักว่าทำแล้ว เป็นอย่างไร
หมายเหตุ เรื่องของคำว่าแสงรัตนะ ปกติจิตของคนทั่วไป ถูกปกปิดด้วยสีของกรรม เป็นเหมือนแสงสีดำ สีดำสีม่วงสีน้ำตาลสีกรมท่าสีไพลเน่าสีต่างๆมากมาย แสงรัตนะจึงไม่สามารถส่งเข้าไปถึงจิตได้ เราก็ต้องเพียร นำกายนำจิตมาสร้างบุญกุศลให้เป็นนิจสิน จิตที่ของผู้ที่ที่ใกล้..เดินทางใกล้เข้า..มรรคผล ..จิตของท่านก็สว่างมากขึ้นๆ นั่นเป็นเรื่องของจิตที่มีบุญเป็นบารมี กายมีบุญ จิตมีธรรม ธรรมรักษาจิต มีความมั่งคง ในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โฆษณา