9 ก.ย. 2022 เวลา 01:51 • สุขภาพ
มือใหม่หัดป่วย
เรื่องของเรื่องคือ ตั้งแต่โควิดระบาดไปทั่วโลก ในช่วงปลายปี 2563 ความหวาดกลัวหวาดระแวง ก็แผ่กระจายไปทั่ว กิจกรรมหลายอย่างถูกระงับ ถูกปิดกิจการ มีคำสั่งให้งดให้บริการ ตั้งแต่นั้นมา เกรียงไกร ก็อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ออกไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็น เวลาออกไปไหนที ก็ห่อหุ้มตัวจนเป็นมัมมี่ กิจกรรมโปรดในช่วงเวลา 2 ปีกว่าๆคือ กิน นอน ดูหนัง Netflix
ผลงานที่ออกมาคือ น้ำหนักพุ่งไปถึง 78 กิโลกรัม มองไปตรงไหนก็มีแต่ความอวบอิ่ม อุดมสมบูรณ์ไปหมด ไม่ได้การซะแล้ว อย่างนี้ต้องลดน้ำหนักเป็นการด่วน ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากวงการนายแบบ 😁😁😁
ว่าแล้วก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนัก ในช่วงต้นปี ด้วยการควบคุมการกิน ให้ปริมาณน้อยลง(นิดหน่อย) ร่วมกับการออกกำลังกายเบาๆ เพราะห่างมานาน วิ่งบ้างเดินบ้างก็อกแก็กไปได้พักหนึ่ง ได้ผลแฮะ น้ำหนักค่อยลดลงไปเรื่อยๆ สุดยอดไปเลย น้ำหนักค่อยๆลดลงจาก 78 เหลือ 75 เหลือ 70 จนลงไปถึง 68 กิโลกรัม โอ้!!!พระเจ้าจอร์จ มันยอดจริงๆ พุงอันอ้วนพีหายวับไปกับตา เสื้อกางเกงเริ่มหลวม ต้องไปรื้อชุดเก่ากลับมาสวมใหม่ และรู้สึกพอใจกับน้ำหนักนี้ จึงเริ่มหยุดควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายที่น้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
แต่……
น้ำหนักตัวยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึง 65 กิโลกรัม เริ่มเอะใจ!!! มันไม่ใช่แล้ว กินก็กินมากขึ้น ออกกำลังกายก็แทบจะไม่ได้ทำแล้ว ยังจะลดลงอีกเหรอเนี่ย จึงมีความพยายามกินอาหารมากขึ้น ประคองน้ำหนักไม่ให้ต่ำกว่า 65 กิโลกรัม แต่สุดท้ายน้ำหนักก็ยังลงไปอีก จนถึง 63 กิโลกรัม
คงต้องถึงมือหมอแล้วสินะ
เมื่อน้ำหนักแตะขีดแดงที่เราตั้งไว้ ด้วยความสงสัยว่าเป็นการลดแบบผิดปกติ ก็คงต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ น้ำหนักจึงลดลง 15 กิโลกรัม ภายในเวลาไม่กี่เดือน
13 มิถุนายน 2565
ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลการตรวจพบว่า ค่าน้ำตาล รายวัน Fasting Blood Sugar (FBS) จากค่าปกติ 70-99 mg/dl แต่ของกระผม 268 mg/dl 😅😅😅 และค่าน้ำตาลสะสม HbA1c จากค่าปกติ 4.0-6.5% ของเกรียงไกร 12.2% คุณหมอเลยขอต้อนรับเข้าสู่ชมรมผู้ป่วยเบาหวานนับตั้งแต่วันนั้น
คุณหมออธิบายว่า เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลเข้าไปมากๆและเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน มันจะส่งผลให้ระบบการจัดการน้ำตาลเพื่อนำไปใช้หรือกำจัดออกเสียหาย เมื่อมีน้ำตาลมากเกินไปแต่อินซูลินไม่สามารถจัดการน้ำตาลได้ ในที่สุดเมื่อร่างกายขาดพลังงาน ก็จะเริ่มเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อ เพื่อนำพลังงานมาใช้ในชิวิตประจำวัน จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงไปเรื่อยๆ
เมื่อทราบสาเหตุว่าเกิดจากเบาหวานแล้ว ก็เริ่มเข้าคอร์สทันที คอร์สแรกประเดิมด้วย ตรวจหาว่าน้ำตาลส่วนเกินที่อยู่ในเลือดของเรา ไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะต่างๆหรือยัง ด้วยโปรแกรมตรวจโรคแทรกซ้อนเบาหวาน เริ่มต้นด้วยการตรวจตา ปรากฏว่ายังปกติดี เบาหวานยังไม่ขึ้นตา
รายการต่อไปตรวจเท้าว่ามีภาวะผิดรูปหรือมีภาวะเท้าชา จากปลายประสาทเสียหายหรือไม่ ก็ปรากฏว่าปกติดี รายการต่อไปก็ตรวจปัสสาวะเพื่อหาไข่ขาว ประเมินการทำงานของไต ก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ สุดท้ายตรวจวัดการตีบตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ก็ปรากฏว่ายังไม่มีการตีบตัน แต่ผนังหลอดเลือดแดงส่วนปลาย แข็งเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อทุกอย่างยังอยู่ในเกณฑ์ดี ก็โดนต้อนเข้าห้องเรียนโภชนาการ
ห้องเรียนโภชนาการ
คุณพยาบาลฝ่ายโภชนาการ เข้ามาติวเข้มเกี่ยวกับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ว่าในแต่ละวันร่างกายต้องการพลังงานกี่แคลอรี่แล้วอาหารแต่ละอย่างให้พลังงานกี่แคลอรี่อาหารชนิดใดมีน้ำตาลมากแค่ไหนอาหารชนิดใดมีส่วนประกอบของแป้งที่จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในที่สุด นั่งฟังไปก็มึนงงไป ในสมองนึกถึงแต่เรื่องที่เราจะทำยังไงต่อไป จะกินยังไงนอนยังไงออกกำลังกายยังไง แล้วโรคนี้มันจะหายไหมหรือจะต้องเป็นเบาหวานไปตลอด จะถูกตัดนิ้วไหม จะถูกตัดเท้าไหม ทุกอย่างวนเวียนอยู่ในสมองตลอดเวลาที่เห็นนั่งฟังคุณพยาบาล บรรยาย
เมื่อจบสิ้นกระบวนการก็ได้รับยาเป็นของขวัญมากล่องใหญ่คุณหมอให้ทานหลังอาหารเช้าหนึ่งเม็ด เย็นหนึ่งเม็ด ก่อนที่จะนัดพบกันในอีกหนึ่ง 3 เดือนต่อมา
เมื่อกลับบ้าน เกรียงไกรก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการบำเพ็ญทุกรกิริยา อันดับแรกเครื่องดื่มรสหวานทุกชนิดที่เคยชื่นชอบ เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำอัดลม น้ำหวานสีแดง ชาเย็น กาแฟเย็น นมเย็น ถูกรื้อทิ้งหมด งดกินเด็ดขาด ต่อมาก็จำพวกอาหาร กินข้าวได้มื้อละหนึ่งทัพพี 😭😭😭 กับข้าวก็เน้นต้มนึ่งอบ อาหารที่ชอบเกือบ 80% ก็กินไม่ได้ อันสุดท้าย จำพวกขนมนมเนย ที่ปกติจะมีประจำบ้านเป็นลังก็ต้องงดเช่นเดียวกัน
ผลข้างเคียงจากการกินยา
เมื่อเริ่มกินยาไปได้ซักสองสามมื้อ ก็เริ่มเกิดผลต่อร่างกายทันที อาการแรกที่เจอคือ ท้องอืดเหมือนอาหารจะไม่ค่อยย่อยต้องหาโซดาหรือ อีโนมากินให้เหรอ แต่พอผ่านไป 4-5 ชั่วโมงก็ดันมีอาการท้องเสีย เข้าห้องน้ำกันห้าหกรอบเล่นเอาหมดแรงไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็มีอาการเบื่ออาหาร ข้าวหนึ่งทัพพีที่มองว่าน้อย ปรากฏว่าเกรียงไกรกินไม่หมด มันเบื่อไม่อยากกิน แล้วก็ไปนอนหมดแรงอยู่บนเตียง โดยสรุปสองสัปดาห์แรกที่เริ่มกินยาโดนอาการข้างเคียงเล่นงานจนแทบแย่
แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้อาการต่างๆก็เริ่มดีขึ้นไม่ค่อยมีอาการท้องอืดแล้วแต่ยังมีอาการท้องเสียบ้างเป็นบางครั้งส่วนอาการเบื่ออาหารก็หายเป็นปลิดทิ้งกลับมากินอาหารได้เอร็ดอร่อยเหมือนเดิมทำให้เริ่มมีความสุข กับการใช้ชีวิตภายใต้คอร์สผู้ป่วยเบาหวานขึ้นมาได้บ้าง
3 เดือนของการควบคุม
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว คุณหมอก็ช่วยได้เพียงให้คำแนะนำและให้ยามากิน ที่เหลือก็ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น สิ่งที่ต้องทำเองมี 3 ส่วน
1. ควบคุมการกินอาหาร
2. ออกกำลังกายให้เหมาะสม
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
ความจริงคือยากทุกข้อ คือ ผมเป็นโรคอาหารเป็นมิตรมานานมาก กินอะไรก็อร่อย พอมันอร่อยก็จะกินทีละมากๆ โดยเฉพาะผลไม้ ผมจะสั่งมะม่วงอกร่อง หรือมะม่วงน้ำดอกไม้ จากสวนที่ภาคกลางครั้งละ 20-40 กิโลกรัม เอามาแบ่งน้องๆบ้าง ที่กินเองก็วันละ 4-5 ลูก ส้มโอปากพนังก็เหมือนกัน ทุเรียนอีก เงาะอีกกินกันสนุกสนาน
การออกกำลังกาย ก็หยุดไปนาน กลับมาวิ่งทีก็ทำไม่ต่อเนื่อง มีข้ออ้างตลอด ส่วนการพักผ่อนนั้น ผมเป็นคนนอนดึกจะนอนประมาณเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งเกือบทุกวันตื่นนอนประมาณ 6-7 โมงเช้า บางวันเลยเถิดก็นอนเกือบตีสามตีสี่ถ้ามีการถ่ายทอดสดฟุตบอลนัดสำคัญ
แต่เมื่อโรคที่เป็นอยู่อาจจะไม่ให้โอกาสเรามากนักในการแก้ตัว ผมจึงเริ่มต้นปรับปรุงตัวในทันที ในด้านของอาหารก็โชคดีที่ได้ “เชฟแจ๋ว”มาเป็นผู้ให้บริการ ผมจึงเปลี่ยนอาชีพจากเซลล์มาเป็นนักต้มตุ๋น อาหารในช่วงแรกที่เชฟเค้าจัดให้กินก็จะเป็นอาหารจำพวก ต้มตุ๋นหนึ่งอบ เป็นหลัก ส่วนข้าวนั้นผมไม่ชอบกินข้าวกล้องจึงกินข้าวขาวได้แค่มื้อละหนึ่งทัพพี เท่านั้น ส่วนกับข้าวก็จะเป็นต้มจืด ผักลวก ไข่ตุ๋น ไก่อบ ไก่ต้ม กินกันจนหน้าซีด 😅😅😅
เรื่องการพักผ่อน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่มีปัญหาน้อยที่สุด แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี คือเมื่อเริ่มเข้าคอร์ส ผมก็ต้องนอนให้หลับก่อนสี่ทุ่ม วันแรกๆก็กระวนกระวายอยู่นานกว่าจะหลับ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ ผมจะตื่นมาตอนตีสาม แล้วทำยังไงก็ไม่หลับอีก เป็นแบบนี้อยู่เกือบสัปดาห์กว่าจะลงตัว
แต่ที่ผมเกเรที่สุดก็คือ การออกกำลังกาย ผมมีข้ออ้างสารพัดที่จะไม่เดินเข้าห้องยิม ตลอดสามเดือนที่ต้องคุมเข้ม เรื่องการออกกำลังกายเป็นเรื่องเดียวที่ผมสอบตก เพราะปฏิบัติได้น้อยมาก
ช่วงเดือนที่สองของการควบคุมเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีมาก ร่างกายปรับตัวให้เข้ากับยาได้ดี รวมถึงการพักผ่อนและอาหารการกินทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ในส่วนของน้ำหนักตัวก็ยังคงที่ อยู่ที่ประมาณ 63 กิโลกรัม ไม่ลดต่ำลงไปอีกแล้ว แต่ก็ยังไม่เพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ ในส่วนของสุขภาพโดยรวมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว แม้น้ำหนักจะลดลงไปมากจากเดิม แต่ก็ทำให้คล่องเนื้อคล่องตัวมากขึ้น อาจจะดูผอมไปมากสำหรับคนที่เห็นผมอ้วนกว่านี้มาโดยตลอด
พอย่างเข้าเดือนที่สาม ทุกอย่างก็ดูสบายๆ การกินน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา การลดอาหารรสหวานทุกชนิดก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะเราก็ยัง กินได้อยู่เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณไม่ให้มากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เวลาอยากกินน้ำอัดลมผมก็จะอนุญาตให้ตัวเองกินได้สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละหนึ่งแก้วเป๊ก เป็นต้น ส่วนผลไม้ผมจะเลือกกิน ฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ ครั้งละไม่เกินสามชิ้นส่วนผลไม้รสหวานจัดจะกินแค่ชิ้นเดียวให้หายอยาก
ยิ่งใกล้วันนัดของคุณหมอก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะตามที่คุยกันเอาไว้เราตั้งค่าน้ำตาลสะสมที่เป็นเป้าหมายในสามเดือนแรก ให้เหลือเป็นเลขหลักเดียวคือจาก 12.2% ให้ลดลงเหลืออยู่ระหว่าง 8% ถึงไม่เกิน 9.9% ก่อนที่จะทำการปรับลดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติในระยะยาว
วันตัดสิน
หลังจากปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด และค่อนข้างตึงมา 3 เดือน โดยเฉพาะควบคุมการกินแป้งและน้ำตาล รวมถึงการพักผ่อนอย่างเพียงพอ สิ่งที่เห็นผลก่อนอื่นเลยคือ ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ไม่มีอาการอ่อนเพลียมา รบกวน
และแล้ววันนัดตรวจร่างกายครบสามเดือนก็มาถึง ในวันที่ 6กันยายน 2565 ผมไปถึงโรงพยาบาลเวลา 08.00 น. ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เดินตรงไปห้องตรวจเลือดทันที ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ตรวจเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่นัดมาฟังผลอีก 90 นาที จึงกลับบ้านมากินข้าว เนื่องจากงดอาหารมาตั้งแต่เมื่อคืน
เวลา 09.30 น.มาพบแพทย์เพื่อรอฟังผลการตรวจเลือด ผลน้ำตาลในเลือดรายวัน FBS = 110 mg/dl ซึ่งเกินค่ามาตรฐานไปนิดหน่อย ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรมาก แต่ค่าน้ำตาลสะสมนี่สิ คุณหมอแจ้งว่าค่าน้ำตาลสะสม HbA1c วัดได้ 5.6% ซึ่ง surprise มาก เพราะในเวลาเพียง 3 เดือน ลดลงมาจาก 12.2% เหลือแค่ 5.6% เท่านั้น ซึ่งเป็นค่าที่เทียบได้กับคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นเบาหวาน
ดังนั้นคุณหมอจึงบอกว่า การที่เราเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินให้เหมาะสม ก็ส่งผลให้การทำงานของร่างกายกลับมาสู่ภาวะปกติได้ แต่ในตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่าหายป่วยแล้ว ยังต้องติดตามต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยสามเดือน
แต่เมื่อผลออกมาดีเช่นนี้ คุณหมอจะลดยาและเปลี่ยนชนิดให้ จากเดิมกินวันละสองเม็ด หลังอาหารเช้าเย็น ก็ลดเหลือวันละหนึ่งเม็ดหลังอาหารเช้าเท่านั้น เมื่อรวมกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการพักผ่อนที่เพียงพอ หากในอีกสามเดือนข้างหน้า ผลการตรวจเลือดออกมาดีเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องใช้ยาช่วยอีกต่อไป ให้คงไว้เฉพาะการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายและการพักผ่อนก็เพียงพอต่อการควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
บทสรุป
ตลอดช่วงเวลาเกือบสามปี ที่ปล่อยประละเลยการดูแลสุขภาพ การใช้ชีวิตที่ปราศจากการควบคุม ไม่ว่าจะเรื่องการกิน การนอน ไม่เคยระมัดระวัง รวมถึงการไม่กระตือรือร้นในการออกกำลังกายเลย มันส่งผลร้ายให้กับร่างกายได้อย่างคาดไม่ถึง
แต่ก็ยังโชคดีที่เรารู้เท่าทันได้เร็ว แล้วกลับมามีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอีกครั้ง จึงสามารถกำจัดน้ำตาลออกไปจากร่างกาย จนกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในสามเดือนแต่ก็คงต้องติดตามภาวะเบาหวานนี้ต่อไปอีกนาน แต่การที่เราไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิตก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากมายแล้ว จึงขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคน ที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคเบาหวาน ขอให้หายจากโรคนี้ด้วยการมีระเบียบวินัยต่อตนเองสามประการ คือ หนึ่งการกิน สองการนอน สามการออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ ท่านก็อาจจะไม่จำเป็นต้องกินยาอีกต่อไป
จบภาคหนึ่งแล้วครับ
อีก 3 เดือนข้างหน้า จะมาอัพเดตผลเลือดให้เพื่อนๆทราบอีกครั้ง ว่าผลจะเป็นอย่างไร
ปล. ที่พิมพ์มาทุกตอน เกิดจากประสบการณ์จริง อาจจะตรงหรือไม่ตรงตามหลักวิชาการบ้าง ต้องขออภัยด้วยครับ 😅😅
โฆษณา