11 ก.ย. 2022 เวลา 02:50 • ประวัติศาสตร์
“ล็อบสเตอร์” จากโปรตีนคนจน สู่มื้อหรูคนรวย
ล็อบสเตอร์ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวัตถุดิบชั้นเลิศ
ด้วยรสชาติที่หวานฉ่ำ เนื้อนุ่มเด้ง อร่อยเต็มปากเต็มคำ
ล็อบสเตอร์จึงกลายมาเป็น มื้อหรูราคาแพง ตามภัตตาคารทั่วโลก
2
แต่รู้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งล็อบสเตอร์เคยถูกเรียกว่าเป็น “โปรตีนคนจน” และใช้เป็นอาหารสำหรับทาสมาก่อน
ทำให้คนรวยเลือกที่จะไม่กินมัน แต่จะนำไปทำเป็นอาหารให้กับทาสหรือสัตว์เลี้ยง
3
แล้วอะไรกันที่ทำให้ล็อบสเตอร์ที่เคยไร้ค่า
กลายเป็นมื้ออาหารสุดหรูในวันนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
หากเราจะเล่าถึงที่มา ของเรื่องราวเกี่ยวกับล็อบสเตอร์
เราก็ต้องย้อนกลับไป ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
หรือในยุคสมัยที่ชาวยุโรป มาตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือ
ในรัฐแมสซาชูเซตส์สมัยนั้น หากเราเดินไปตามชายหาด
เราจะได้เห็นชายฝั่ง ที่เต็มไปด้วยกองทัพกุ้งล็อบสเตอร์ กองสูงเท่าเข่า
ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่ล็อบสเตอร์เต็มไปหมด
1
ในสมัยนั้นเอง คนรวยต่างรังเกียจ และเลือกที่จะไม่กินมัน
ต่างกับคนจน ที่มักจะกินล็อบสเตอร์กันเป็นประจำ 3 มื้อต่อวัน
เพราะถือเป็นแหล่งโปรตีนที่หาได้ง่าย และราคาถูก
จุดนี้เองที่ทำให้ ล็อบสเตอร์ ถูกขนานนามว่า เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับคนจน
ด้วยราคาที่ถูกและหาได้ง่าย มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยนั้นมีการขึ้นโรงขึ้นศาลกัน
ด้วยเหตุที่ว่า เจ้านายให้ทาสกินล็อบสเตอร์บ่อยเกินไป จนผู้พิพากษาต้องสั่งห้ามเจ้านาย
ให้ทาสกินล็อบสเตอร์เกิน 3 มื้อต่อสัปดาห์
3
หรืออีกเรื่องที่ว่า เรือนจำสมัยนั้นให้นักโทษกินล็อบสเตอร์บ่อยเกินไป
จนต้องมีกฎหมายประกาศว่า การให้นักโทษกินล็อบสเตอร์มากเกินไป ถือเป็นการทารุณ..
8
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยปริมาณมหาศาลของล็อบสเตอร์นี้เอง ที่จะกินอย่างไรก็กินไม่หมด ถึงขั้นที่ว่ามีการนำล็อบสเตอร์ไปเป็นอาหารให้สัตว์เลี้ยง บ้างก็เอาไปทำเหยื่อตกปลา บ้างก็เอาไปทำเป็นปุ๋ย
2
แล้วจุดเปลี่ยนของล็อบสเตอร์ เกิดขึ้นตอนไหน ?
1
เราสามารถสรุปจุดเปลี่ยนสำคัญของ ล็อบสเตอร์ ได้เป็นข้อ ๆ แบ่งออกเป็น
1
- เกิดช่องทางการค้าใหม่
มีการนำล็อบสเตอร์มาทำเป็นอาหารกระป๋องขาย ด้วยราคาที่ย่อมเยา
จนทำให้ล็อบสเตอร์กลายเป็นอาหารกระป๋องยอดนิยม
3
- ในสงครามโลกครั้งที่ 2
เกิดการขาดแคลนเนื้อสัตว์ เว้นแต่ล็อบสเตอร์ที่ไม่ขาดแคลน
ทำให้ผู้คนได้ลิ้มลอง และเริ่มรู้จักล็อบสเตอร์กันเป็นวงกว้าง
- ชื่อเสียงด้านลบเริ่มหายไป
มีการเสิร์ฟล็อบสเตอร์สด ๆ บนรถไฟ ให้แก่กลุ่มคนรวยที่ไม่รู้จักมัน
จนเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ล็อบสเตอร์เริ่มมีชื่อเสียงด้านบวก ทั้งความอร่อยและความหรูหรา
ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้เอง ทำให้เกิดความนิยมในล็อบสเตอร์มากขึ้น
จนปริมาณสต็อกสินค้าลดลง ส่งผลให้ราคาของล็อบสเตอร์สูงขึ้น
3
และแม้หลังจากนั้น สต็อกของล็อบสเตอร์จะกลับมาเยอะขึ้น
แต่มูลค่าของล็อบสเตอร์ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
ด้วยการจับที่ยากขึ้น เพราะต้องจับจากท้องทะเลเท่านั้น ไม่ได้มีกองบนชายหาดอีกต่อไป
3
เมื่อรวมกับต้นทุนในการขนส่ง และการเก็บรักษาที่แพง
เนื่องจากการกินล็อบสเตอร์ต้องกินสด ๆ ถึงจะอร่อย
ทำให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ตั้งแต่การจับ การแพ็ก การขนส่ง จนกว่าจะถึงร้านอาหาร
3
ยิ่งไปกว่านั้น พอล็อบสเตอร์เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้น
ก็ได้เริ่มมีกฎหมายคลอดตามมา
โดยการจะจับล็อบสเตอร์ได้นั้น จะต้องให้ล็อบสเตอร์มีตัวโตถึงเกณฑ์ก่อน ถึงจะสามารถจับได้
ในที่นี้คืออายุ 7 ปีขึ้นไป และหากจับได้ตัวเมียที่มีไข่ ก็ต้องปล่อยคืนไปสู่ท้องทะเล
สิ่งเหล่านี้ จึงเริ่มทำให้ล็อบสเตอร์ กลายมาเป็นของหายาก และมีต้นทุนในการนำมาทำอาหารที่แพงขึ้นกว่าแต่ก่อน
4
ปัจจุบัน ล็อบสเตอร์มีมูลค่าตลาดทั้งสิ้น ราว 2 แสนล้านบาทต่อปี
โดยถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนล้านบาทต่อปี
ภายในปี 2027 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
2
คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 9.9% ต่อปี เรียกได้ว่าเป็นการเติบโตที่สูง
เมื่อเทียบกับวัตถุดิบอาหารทะเลอื่น ๆ เช่น แซลมอน ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 4% ต่อปี..
2
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของล็อบสเตอร์
อดีตโปรตีนคนจน ที่ได้กลายมาเป็นมื้ออาหารสุดหรูของคนรวยในวันนี้..
1
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
1
คำว่า “ล็อบสเตอร์” มีรากศัพท์มาจากคำว่า Locusta แปลว่า ตั๊กแตน และ Loppe ที่แปลว่า แมงมุม
2
อาจเพราะรูปร่างหน้าตาของมัน ที่มีลักษณะตัวเป็นปล้อง ๆ เหมือนกับแมลง
และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ครั้งหนึ่ง ล็อบสเตอร์ เคยถูกเรียกว่า “แมลงสาบแห่งท้องทะเล”
6
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
โฆษณา