12 ก.ย. 2022 เวลา 03:30 • การเกษตร
ทำไม องุ่น “Ruby Roman” ถึงเคยถูกประมูล ในราคาพวงละ 440,000 บาท
ปกติแล้ว ราคาขององุ่น 1 พวง
จะอยู่ที่ประมาณหลักสิบ ถึงหลักพันบาท
แต่เมื่อไม่นานมานี้ กลับมีองุ่นราคาพวงละ 190,000 บาท
ที่ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็นกระแสร้อนแรง
ซึ่งองุ่นสายพันธุ์ที่ถูกพูดถึงนี้ มีชื่อว่า “Ruby Roman”
ถือเป็นองุ่นพรีเมียม จากประเทศญี่ปุ่น
แล้วอะไรที่ทำให้องุ่นสายพันธ์ุนี้ มีราคาแพงกว่าองุ่นทั่ว ๆ ไป ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้วหากจะถามหาเหตุผล ถึงความแพงขององุ่น Ruby Roman
เราก็คงจะต้องสืบสาวกลับไปที่ประเทศต้นกำเนิด อย่าง ญี่ปุ่น
ซึ่งในสายตาของชาวญี่ปุ่น
พวกเขาไม่ได้มองว่า “ผลไม้” เป็นแค่ของทานเล่นหลังมื้ออาหาร
หรือของว่างในช่วงกลางวันเท่านั้น
แต่ชาวญี่ปุ่น จัดให้ผลไม้ เป็นเหมือนของขวัญล้ำค่า หรือสินค้าหรูหรา ที่นิยมมอบให้กับครอบครัว หรือบุคคลคนที่เคารพในโอกาสพิเศษ
1
นั่นเป็นเพราะ ผลไม้ในประเทศญี่ปุ่นบางชนิด มีราคาสูง และเป็นสายพันธุ์ที่หายาก บวกกับกระบวนการดูแลที่พิถีพิถัน ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้การปลูกผลไม้ จึงคล้ายกับการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสักชิ้น
1
สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้ราคาผลไม้ของประเทศญี่ปุ่นบางประเภท มีราคาสูง จนเทียบเท่ากับกระเป๋าแบรนด์หรูเลยทีเดียว
อย่างเช่น
เมลอน Yubari King
ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7,300 บาทต่อลูก
แถมยังเคยทำสถิติ ถูกประมูลไปในราคาสูงถึง “1.6 ล้านบาท” เลยทีเดียว
แต่ถ้าเมลอน ยังราคาแรงไม่พอ
เราลองมาดู สตรอว์เบอร์รี Bijin-hime
ที่มีราคากว่า 13,000 บาทต่อลูก
ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็น ราคาต่อลูก นะคะ
และหากจะพูดถึงผลไม้ราคาแพงแล้ว
ก็คงจะขาดองุ่น “Ruby Roman” ไปไม่ได้
โดย Ruby Roman ถูกจัดให้เป็น Luxury grape หรือ “องุ่นชั้นพรีเมียม”
ที่มีไซซ์ใหญ่กว่าองุ่นปกติถึง 4 เท่า
และเคยถูกประมูลไปในราคาสูงถึง 440,000 บาทต่อพวง
โดยจุดเริ่มต้นขององุ่นสายพันธุ์นี้ เกิดจากที่ศูนย์วิจัยด้านเกษตรกรรมของจังหวัดอิชิกาวะ (Ishikawa) และเกษตรกรท้องถิ่น ที่ต้องการสร้างองุ่นแดงลูกใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา
ซึ่งการพัฒนาในครั้งนี้ “ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล” ที่ต้องการยกระดับ และเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับเหล่าเกษตรกร คล้ายกับการประกวดเนื้อวากิว ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
2
เกษตรกรท้องถิ่น และศูนย์วิจัยด้านเกษตรกรรมของจังหวัดอิชิกาวะ จึงเลือกนำองุ่นแดง และองุ่นฟ้า (Blue grapes) มาผสมกัน โดยใช้เวลาในการพัฒนากว่า 13 ปี จนกลายมาเป็นองุ่นสีแดงผลกลมสวย มีความหวานชุ่มฉ่ำ อย่างสายพันธุ์ “Ruby Roman” ในปี 2008
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า อะไรที่ทำให้องุ่น Ruby Roman แตกต่างจากองุ่นทั่วไป จนมีราคาสูงขนาดนั้น ?
1
อย่างแรก คือ คุณสมบัติเรื่องคุณภาพ และรูปลักษณ์ ที่จะต้องผ่านการประเมิน
ต้องบอกว่า จริง ๆ แล้ว องุ่น Ruby Roman ไม่ได้มีราคาสูงถึงหลักแสนบาททุกพวง ซึ่งสามารถแบ่งตามเกรดได้ดังนี้
1. เกรด Superior หรือเกรดทั่วไป
มีน้ำหนัก 20 กรัมต่อลูก และมีปริมาณน้ำตาล 18% พอดี
โดยองุ่นเกรดนี้ มีสัดส่วนถึง 90% ขององุ่น Ruby Roman ทั้งหมด
ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ราว ๆ 3,300-5,100 บาทต่อพวง
2. เกรด Special Superior
เป็นเกรดที่มีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 18%
และมีสัดส่วนเพียงแค่ 10% ขององุ่น Ruby Roman ทั้งหมด
ส่งผลให้ราคาขององุ่นเกรดนี้ อาจสูงถึง 16,400 บาทต่อพวง
3. เกรด Premium หรือองุ่น Ruby Roman เกรดสูงสุด
เคยถูกประมูล ไปในราคา 440,000 บาทต่อพวง
ซึ่งในแต่ละปี อาจจะพบองุ่นเกรดนี้ได้เพียงแค่ 1-2 พวง หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้
เนื่องจากองุ่น Ruby Roman เกรด Premium จะต้องตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็น
- มีน้ำหนักต่อลูก ไม่ต่ำกว่า 30 กรัม
- มีสีผิวที่สม่ำเสมอ
- มีสีแดงเหมือนทับทิม ที่ตรงกับ “ชาร์ตสี” ที่ถูกกำหนดไว้
หรือพูดง่าย ๆ ว่า ทั้งหมดนี้ก็คือ ความสมบูรณ์แบบขององุ่น ที่อาจหาได้ยากนั่นเอง
1
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้องุ่น Ruby Roman มีราคาสูงกว่าองุ่นสายพันธุ์ทั่วไป อยู่ตรงที่ “การดูแลอย่างใส่ใจ และการเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน”
โดยองุ่นสายพันธุ์ Ruby Roman จะถูกปลูกในเรือนกระจก เพื่อป้องกันแมลง และเพื่อความสะดวก ในการควบคุมอุณหภูมิและแสงแดด ที่เหมาะสม
เพราะหากองุ่นโดนแสงแดดน้อยหรือมากเกินไป
สีขององุ่นจะไม่สด หรืออาจเป็นสีแดงซีด
ซึ่งจะส่งผลต่อราคา และเกรดขององุ่น
โดยเหล่าเกษตรกรเล่าว่า สิ่งเดียวที่ช่วยควบคุมแสงแดดได้ดี คือ การนำใบไม้มาบัง หรือการขยับใบไม้ไปมา ให้แสงแดดส่องโดนองุ่นทุกลูก เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอของสีองุ่น
3
ที่น่าสนใจก็คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานเกษตรกรรม
โดยเกษตรกรจะสามารถใช้แอปพลิเคชัน ที่ช่วยเช็กระดับแสงแดดที่เหมาะสมอย่างแม่นยำ สำหรับองุ่นแต่ละพวง ผ่านโทรศัพท์ได้
2
เรียกได้ว่า ความพิถีพิถัน ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ผสมผสานกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ทำให้การปลูกองุ่น Ruby Roman จึงเหมือนกับงานคราฟต์ ที่ค่อยเป็นค่อยไป และเน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ
1
และจากข้อมูลของ Businessinsider กล่าวไว้ว่า
ในปี 2020 มีองุ่นสายพันธุ์ Ruby Roman เพียง 25,000 พวง ที่ถูกนำออกไปขาย ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับ จำนวนขององุ่นทั้งหมด ที่ขายในประเทศญี่ปุ่น ที่มีมากถึง 163,000 ตัน
1
อย่างไรก็ตาม หากลองคิดคร่าว ๆ ว่า จำนวนองุ่น 25,000 พวงเหล่านั้น ถูกขายไปในราคาขั้นต่ำพวงละ 3,300 บาท จะสามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศญี่ปุ่น ได้มากถึง 83 ล้านบาทเลยทีเดียว
1
เรียกได้ว่า ความพิถีพิถันและความใส่ใจในรายละเอียด กลายเป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่น
ซึ่งเรื่องนี้ ส่งผลให้ธุรกิจ หรือสินค้าของประเทศแห่งนี้ ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ
จนเมื่อไรก็ตาม ที่บนฉลากมีคำว่า “Made in Japan” หลายคนจะรู้ได้ทันที ว่าสินค้าชิ้นนี้สามารถเชื่อถือได้
2
ถึงขั้นมีแนวคิด ที่เรียกว่า “Omotenashi” เกิดขึ้น
เพราะด้วยจิตวิญญาณในการบริการ แบบที่ไม่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
เป็นการบริการอย่างบริสุทธิ์ใจ
และดูแลเอาใจใส่ลงลึกไปถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางครั้งลูกค้าอาจจะยังคิดไม่ถึง
2
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของคนญี่ปุ่น
และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ไม่มีใครสามารถเลียนแบบญี่ปุ่นได้นั่นเอง..
1
โฆษณา