11 ก.ย. 2022 เวลา 05:59 • ประวัติศาสตร์
มาในดินแดนอุยกูร์ ใน ค.ศ.694 ในสมัยจักรพรรดินีอู๋เจ๋อเทียน (ค.ศ.690-705) ลัทธินี้จึงสามารถเผยแผ่ สู่แผ่นดินจีน แต่เมื่อจีนตีได้แคว้นอุยกูร์ก็ได้สั่งห้ามการเผยแผ่ลัทธินี้โดยสิ้นเชิง ลัทธินี้จึงต้องหลบภัยและ ดำรงอยู่ในรูปของสมาคมลับ หลังสิ้นยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ลัทธิมานิกียังคงอยู่โดยผสานกลมกลืนไปกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า ก่อเกิดเป็นลัทธิใหม่ คือ “ลัทธิบัวขาว”
ค.ศ.819 ฮั่นหยู่ ผู้คงแก่เรียนที่มีชื่อเสียงในลัทธิขงจื๊อ ได้เขียนบันทึกความทรงจำ กล่าวโจมตีพุทธศาสนาอย่างดูหมิ่นดูแคลนที่สุด ในเรื่องความงมงายของการบูชาพระสารีริกธาตุ แม้ว่าเขาจะถูกลดตำแหน่งและถูกลงโทษ แต่เชื้อแห่งการต่อต้านได้เพาะหวานไปทั่ว
หลังกบฏอันลู่ซานใน ค.ศ. 755 เรื่อยมาจนถึง ค.ศ. 845 เป็นช่วงที่พุทธศาสนาถูกริดรอน การปฏิบัติธรรมแบบมีพิธีกรรมต้องหยุดชะงักลง พุทธศาสนิกชนผู้รักอิสรภาพและแสวงหาสัจธรรมแห่งวิญญาน จึงได้หันมานำหลักธรรมของนิกายเซ็นไปปฏิบัติ
ค.ศ.841-847 จักรพรรดิได้สั่งให้ปิดวัดของศาสนาเต๋าและวัดในพุทธศาสนาทั้งหมด แต่ต่อมาพระองค์ได้ รื้อฟื้นศาสนาเต๋าขึ้นใหม่ แต่ทรงประณามพุทธศาสนาว่าเป็น “ศาสนาต่างชาติ” ทรงสั่งเผาและทำลายวัด ทางพุทธศาสนาทั้งหมด ยกเว้นหัวเมืองสำคัญไว้แห่งละ 1 วัด และเมืองที่เป็นศูนย์กลางใหญ่แห่งละ 4 วัด เท่านั้น พระภิกษุและภิกษุณีส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ลาสิกขา แม้ว่าการกวาดล้างจะดำเนินไปได้ไม่นาน แต่ก็ส่งผลสูญเสียอย่างร้ายแรง
พุทธศาสนานิกายฌาน หรือเซน ยังคงสืบทอดต่อไปและแพร่หลายสู่ประเทศญี่ปุ่น
ฮวงโป (ชื่อเดิมคือ ตวน หรือ ชิ-หยื่น กล่าวกันว่าท่านมรณภาพใน ค.ศ. 850) ท่านเป็นหลานศิษย์ของ พระธรรมาจารย์เว่ยหล่างแห่งนิกายเซ็น เป็นผู้ถ่ายทอดคำสอนนิกายเซนให้แก่ อาย ตื่น ผู้ก่อตั้งนิกาย หลินฉีเซน หรือที่เรียกอย่างญี่ปุ่นว่า รินชายเซ็น
ท่านฮวงโปจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อกำเนิดนิกายนี้ ซึ่งยังคงมีอยู่ในประเทศจีนและแพร่หลายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ชื่อในญี่ปุ่นของท่านคือ โอบากุ ท่านมิได้เป็นสังฆปรินายก จึงได้รับการขานชื่อว่า ครูบา
ครูบาฮวงโปเดินทางจาก ฟูเกี๋ยน มายังภูเขาฮวงโป ซึ่งชื่อของภูเขาได้ กลายเป็นนามของท่านหลังการมรณภาพ
ค.ศ.874-884 เกิดกบฏชาวนา และการสะสมอิทธิพลของเมืองชายแดน กบฏชาวนามีผู้เข้าร่วมมากถึงกว่าล้านคน ใช้เวลายาวนานถึง 10 ปี และทำการสู้รบกันในบริเวณ 12 มณฑลของประเทศจีนในปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นฐานรากของราชวงศ์ผุกร่อนไปมากแล้ว พวกแม่ทัพขุนทหารต่างๆ พากันสะสมอิทธิพลเพื่อช่วงชิงอำนาจที่ศูนย์กลาง ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะแยกตัวเป็นอิสระ
สมัย 5 ราชวงศ์ 10 แคว้น (ค.ศ.907-979) และราชวงศ์เป่ยซ่ง (ค.ศ.960-1126)
5 ราชวงศ์ (ค.ศ.907-975)
ค.ศ.907 จูเงินปลดพระเจ้าถังอ้ายตี้ออกจากราชสมบัติใน แล้วสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ใช้ชื่อ ราชวงศ์โฮ่วเหลียง (ค.ศ.907-923)
ในช่วงนี้ทางภาคเหนือเกิดราชวงศ์ขึ้นต่อเนื่องกันตามลำดับรวม 5 ราชวงศ์ คือ
โฮ่วเหลียง (ค.ศ.907-923)
โฮ่วถัง (ค.ศ.923-936)
โฮ่วจิ้น (ค.ศ.936-947)
โฮ่วฮั่น (ค.ศ.947-951)
และต่อด้วยโฮ่วโจว (ค.ศ.951-960)
แต่ละราชวงศ์ต่างถือตนว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองทั้งสิ้น ความวุ่นวายแย่งชิงอำนาจของ 5 ราชวงศ์ เกิดขึ้นบริเวณตอนเหนือของแผ่นดินเป็นส่วนใหญ่
(ยังมีต่อ)
018
โฆษณา