Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ศึกษาพระเครื่อง
•
ติดตาม
12 ก.ย. 2022 เวลา 04:52 • ไลฟ์สไตล์
ประวัติอาจารย์เที่ยง น่วมมานา ตอนที่ 1-7 โดยสำนักบ้านมีดี
ตอนที่ 1
อาจารย์เที่ยง น่วมมานา เกิดในวันที่ 2 เมษายน 2455 เวลาประมาณเที่ยงวัน บิดาชื่อ คุณปู่โม่ มารดาชื่อคุณย่าแมว ท่านทั้ง 2 ตั้งบ้านเรือนอยู่ย่านชุมชนวัด
2
ราชบพิธ ส่วนคุณย่าแมวผู้เป็นมารดา บ้านเดิมอยู่ย่านบางอ้อยช้างมีอาชีพเป็นชาวสวน และได้มาทำอาชีพค้าขายที่ตลาดวัดทอง ตลาดโบราณริมคลองบางกอกน้อย จากนั้นได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ชุมชนบ้านบุบางกอกน้อย
อาจารย์เที่ยง น่วมมานา เกิดที่บ้านย่านชุมชนวัดราชบพิธ เขตพระนคร มาเติบโตแถวบ้านขมิ้น(บ้านขมิ้นคือชุมชนเก่าแก่ใกล้โรงพยาบาลศิริราชในบัจจุบัน)
คุณพ่อเที่ยง ท่านมีนิสัยชอบศึกษาหาความรู้ ชีวิตวัยรุ่นบางช่วงท่านได้หายออก
ไปจากบ้านท่องเที่ยวเสาะแสวงหาร่ำเรียนวิชา เดินทางร่ำเรียนวิชาไปเรื่อยเคยหายไปนานมากสุดครั้งหนึ่งหลายปีจนคนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว คุณพ่อเที่ยงได้ศึกษาวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์มากมายทั้งพระและฆราวาส มีชื่อครูบาอาจารย์ที่จดบันทึกไว้ทั้งอาจารย์พระ และอาจารย์ฆราวาสมากมายเกือบร้อยรายชื่อ ในยุคสมัยนั้นมีอาจารย์ที่เก่งๆมีอยู่มากมายให้ฝากตัวเป็นศิษย์ขอศึกษาความรู้ คุณพ่อเที่ยง ก่อนที่ท่านจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชาจากอาจารย์ท่านใด จะสังเกตดู
พฤติกรรมของอาจารย์ท่านนั้นเสียก่อนว่า อาจารย์เก่งจริงไหม อาจารย์มีคุณธรรมหรือไม่ คุณพ่อเที่ยงได้เคยเล่าว่า " ถ้าจะเรียนคงกระพัน ให้ดูว่า อาจารย์มีแผลไหม จะเรียนเจ้าชู้ให้ดูว่าอาจารย์มีเมียกี่คน " ดูจนมั่นใจว่าอาจารย์เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและมีวิชาดีแล้วจึงจะเข้าไปขอฝากตัวเป็นศิษย์
การฝากตัวเป็นศิษย์ในยุคนั้นไม่ง่าย อาจารย์แต่ละท่านทดสอบจิตใจและความอดทนของผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ว่าตั้งใจจริงไหม เป็นคนดีมีศีลธรรมหรือไม่ มี
สัจจะวาจาหรือไม่ คุณพ่อเที่ยงเล่าว่า กว่าจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชามาแต่ละอย่าง ต้องปรนนิบัติรับใช้ครูบาอาจารย์ ตักน้ำ ถูบ้าน ช่วยงานบ้าน เวลากินข้าวก็ให้ไปหาข้าวกินเอง กราบครูก็ถูกไล่ให้ไปกราบพระ พอไม่กราบก็ด่าว่าไม่เคารพครูจะสู้ครู ถูกว่าถูกบ่น ถูกด่านานหลายวัน จนอาจารย์เห็นความจริงใจ ความตั้งใจ พอวันดีคืนดี อาจารย์จึงให้นำดอกไม้ธูปเทียนเข้ามากราบไหว้เพื่อรับตัวเป็นศิษย์ คุณพ่อเที่ยงเล่าว่าท่านเรียนวิชาแต่ละอาจารย์ใช้ค่ากำนลครูตั้งแต่ 1 เฟื้อง
ไปจนถึงควายทุย 1 ตัวก็มี บางครั้งไม่มีค่ากำนลครูก็ต้องทำงานทำนาชดใช้แทน
ตอนที่ 2
ในวัยเด็กคุณพ่อเที่ยง ใช้ชีวิตผูกพันอยู่กับวัดตั้งแต่เด็กจึงได้รับการศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยและหนังสือขอมตามหลักการเรียนในสมัยนั้น จนแตกฉานอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดีเยี่ยม คุณพ่อเที่ยงมีความรู้ความสามารถด้านช่างไม้มาตั่งแต่เด็ก ฝีมือทางด้านเชิงช่างการเข้าไม้หรือการปลูกสร้างบ้านของคุณพ่อเที่ยงนั้นถือว่าเก่งมาก ปลูกบ้านสร้างบ้านได้ด้วยตัวเอง จะต่อเติมหรือโยกย้ายบางส่วนของ
บ้าน ก็มีเทคนิคทางเชิงช่างไม่ต้องรื้อให้เสียไม้เสียเวลา ถือว่าด้านเชิงช่างไม้นั้น ท่านมีเชี่ยวชาญหาตัวจับยาก และท่านยังความรู้ด้านความเชื่อในการสร้างบ้านแบบโบราณ การสร้างบ้านแบบโบราณนั้นต้องมีการลงยันต์ติดหัวเสา มีการลงแผ่นยันต์ติดไว้ที่จั่วบ้านทั้งหน้าและหลัง คุณพ่อเที่ยงก็สามารถทำได้ทั้วหมดสิ้น
แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณพ่อเที่ยง สนใจจะศึกษาพระเวทวิทยาคมต่างๆตั้งแต่เป็นวัยรุ่นนั้น ด้วยเหตุว่า คุณพ่อเที่ยงมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชื่อว่าปู่ปิ๋ว เป็นญาติทาง
พ่อ บ้านเดิมอยู่วัดใหม่ยายแป้น และย้ายไปอยู่ย่านวัดประดู่บางพรหม ปู่ปิ๋วท่านนี้มีวิชาอาคมมาก เคยเป็นสัปเหร่อหลวงในวังเทเวศร์ มีความรู้ด้านเลขยันต์ในตำราพิชัยสงคราม เล่าเรียนการทำตะกรุดมหารูดพิชัยสงคราม ท่านได้ตามเรียนวิชาทำตะกรุดมหารูดถึงสามอาจารย์จนครบทั้ง ทอง เงิน นาค ท่านสืบวิชามาจากวังเทเวศร์ คุณปู่ปิ๋วนอกจากมีวิชาที่กล่าวข้างต้นมาแล้ว ท่านยังมีวิชาเรียกภูตผีปีศาจ ทำน้ำมันพราย เครื่องใช้ภายในบ้านส่วนมากจะเป็นของคนตาย เช่น เสื้อผ้าที่ท่าน
สวมใส่ก็ของผู้ที่เสียชีวิต เตียงนอนหรือเก้าอี้ก็ต่อจากไม้ฝาโลง ปู่ปิ๋วท่านนี้เป็นผู้ทำให้คุณพ่อเที่ยง สนใจเรื่องของไสยศาสตร์วิชาอาคมตั้งแต่ยังเล็ก คุณพ่อเที่ยงเล่าว่า เมื่อตอนเด็กปู่ปิ๋วเอาผ้าขาวม้าผูกฉันติดกับตัวท่าน แล้วพาไปทำน้ำมันพรายให้ดู ปู่ปิ่วท่านเรียกผีออกจากหลุม ผีนั้นออกจากหลุมก็กลายร่ายสูงใหญ่เท่ายอดตาล ปู่ปิ๋วภาวนาคาถาสะกดจนตัวผีค่อยๆเล็กลงเท่าเดิม แล้วจึงเอาน้ำมันพรายได้จอกนึง เมื่อเสร็จพิธี ผีก็ลงหลุมตามเดิม ปู่ปิ๋วให้ฉันลองยกถ้วยใส่น้ำมัน
พรายดู น้ำมันพรายซึ่งมีแค่จอกเดียว แต่กลับมีน้ำหนักมากยกแทบไม่ขึ้น จากนั้นปู่ปิ๋วก็สาดน้ำมันพรายนั้นทิ้งไป ปู่ปิ๋วต้องการทำให้พ่อเที่ยงดูว่าไสยศาสตร์ต่างๆนั้นมีจริง เมื่อวัยเด็กคุณพ่อเที่ยงขอคุณปู่ปิ๋วเรียนวิชา แต่ครั้งนั้นปู่ปิ๋วว่ายังไม่ถึงเวลา
เมื่อคุณพ่อเที่ยงโตขึ้นมาในวัยเหมาะสมแล้ว คุณพ่อเที่ยงจึงได้กราบขอเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาต่างๆจากปู่ปิ๋ว ผู้มีศักดิ์เป็นปู่จนหมดสิ้น มีเรื่องเล่าว่าเมื่อภายหลังเมื่อปู่ปิ๋วท่านเสียชีวิต ศพของท่านเก็บไว้ถึง 7 ปี เมื่อนำร่างท่านไปเผา ศพของท่านเกิด
ปฏิการเผาไม่ไหม้ ราดด้วยน้ำมันก๊าด แล้วจุดไฟกี่ครั้งก็ไม่ติด ด้วยคุณวิชาภายในตัวของปู่ปิ๋วนั้นเอง จนคุณพ่อเที่ยงต้องนำหญ้าแพรกกับไม้แสมทำพิธีบอกกล่าว แล้วจึงเผาร่างท่านได้เป็นปกติ ครูปิ๋วท่านนี้คือผู้ที่ทำให้ท่านพอเที่ยงเกิดความศัทธา และมีความตั้งใจตั้งแต่เป็นเด็กว่าอยากศึกษาวิชาอาคม คุณปู่ปิ้วเป็นเจ้าของวิชาทำตะกรุดมหารูดพิชัยสงครามอันโด่งดังมาจนปัจจุบัน
ย้อนไปในชีวิตวัยรุ่นในพระนครสมัยนั้นต้องมีวิชาศิลปะป้องกันตัว เมื่อยามว่าง
จากการทำงานช่วยบิดามารดา ในช่วงอายุประมาณ13-16ปี ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2468เป็นต้นมา คุณพ่อเที่ยงเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวตามความนิยมของลูกผู้ชายในยุคนั้น คุณพ่อเที่ยงตั่งใจเสาะแสวงหาอาจารย์ที่จะสอนศิลปะการปัองกันตัว ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงได้พบครูอยู่ ครูอยู่ผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปการป้องกันตัว เนื่องด้วยอดีตท่านเคยเป็นทหารมหาดเล็กของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ครูอยู่เป็นองครักษ์คนสนิทติดตามกรมหลวงชุมพรเขตอุดม
ศักดิ์ เมื่อสิ้นกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์แล้ว ครูอยู่ท่านก็ออกจากราชการใช้ชีวิตปกติอาศัยอยู่บนเรือ มีเรื่องเล่าว่าครูอยู่ท่านเป็นคนร้อนวิชาจึงอาศัยอยู่บนเรือ ครูอยู่จะท่านจะชอบซ่อนปืนเอาไว้ในโสร่ง ครูอยู่ท่านมีคาถาคงกระพันชาตรีอยู่บทนึง คือคาถาขนมเปี๊ยะ คาถานี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ครูอยู่ท่านมักชอบลองวิชาลูกศิษย์เสมอ ท่านขอบดื่มน้ำชากันขนมเปี๊ยะ เรื่องลองของลูกศิษย์นั้นมีเรื่องเล่ากันมาว่า ครูอยู่ท่านจะชอบเสกขนมเปี๊ยะให้ลูกศิษย์ที่มาหาท่านกิน พอลูกศิษย์ได้กินแล้วนั้น
ท่านก็จะแกล้งทำเหรียญสตางค์ตกบ้าง พอลูกศิษย์เผลอก้มลงเก็บเหรียญสตางค์ให้ท่านครูอยู่ท่านก็จะเอาปืนที่ซ่อนอยู่ในโสร่งออกมายิ่งลูกศิษย์จนคว่ำขม่ำด้วงแรงของปืน แต่หนังศิษย์ของท่านนั้นลูกปืนหาได้ทำอันตรายได้ไม่ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของอาคมที่ท่านเสกลงในขนมเปี๊ยะให้ลูกศิษย์กิน เมื่อลูกศิษย์ลุกยืนขึ้นมาได้ก็ตกใจที่ถูกยิง แต่เมื่อดูที่ตามเนื้อตามตัว มีแต่รอยจ้ำๆจากความแรงของลูกปืน เมื่อครูอยู่ท่านเห็นดังนั้นท่านก็จะหัวเราะชอบใจ และบอกว่าหนังมึงใช้ได้ หนังมึงดีกว่า
หมาหน่อย แล้วท่านก็จะหัวเราะชอบใจ บางครั้งท่านก็วานให้ลูกศิษย์ช่วยเดินหยิบของให้บ้าง เมื่อได้ระยะก็ซัดด้วยหอกพุ่งไปโดนศิษย์ท่านจนหัวขม่ำแต่ศาสตราวุธต่างๆก็หาทำอะไรหนังของศิษย์ท่านได้ ด้วยครูอยู่ท่านชอบลองของกับลูกศิษย์ที่มาหาท่านดั่งนี้แล้ว จึงเป็นที่ครั่นคร้ามของผู้ที่จะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ยิ่งนัก แรกเริ่มพ่อคุณพ่อเที่ยงไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ครูอยู่นั้น ครูอยู่ท่านไม่ได้รับเป็นศิษย์ ท่านดูความตั่งใจของคุณพ่อเที่ยงอยู่นาน คุณพ่อเที่ยงได้ใช้ความพยายาม
คอยปฏิบัติรับใช้ครูอยู่ จนครูอยู่เมตตารับไว้เป็นศิษย์ ครูอยู่ได้ครอบมอบวิชาคาถาคงกระพันชาตีให้คุณพ่อเที่ยง (คาถานี้มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ทางคงกระพันชาตรียิ่งนัก ถึงขนาดลองกันได้ เป็นที่ประจักษ์ในวิทยาคุณด้านคงกระพันชาตรีด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของครูบาอาจารย์เจ้าของวิชา เมื่อจะทำพิธีประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ใดคุณพ่อเที่ยงท่านจะให้นำขนมเปี๊ยะมาเป็นเครื่องครูด้วยระลึกถึงครูอยู่ผู้เป็นเจ้าของวิชา และนำขนมเปี๊ยะไปใส่บาตรอุทิศกุศลให้กับท่านผู้เป็นอาจารย์ ครูอยู่ท่านรัก
และเมตตาคุณพ่อเที่ยงมาก ท่านได้ถ่ายทอดวิชาแม่ไม้มวยไทย และวิชากระบี่กระบองให้คุณพ่อเที่ยงจนหมดสิ้น คุณพ่อเที่ยงตั่งใจเรียนฝึกฝน วิชากระบี่กระบอง และวิชาแม่ไม้มวยไทยจนท่านเชี่ยวชาญการใช้กระบี่กระบองและแม่ไม้มวยไทยเป็นอย่างมาก ในชีวิตคุณพ่อเที่ยงท่านเคยขึ้นชกต่อยมวยไทยทั้งสิ้น 3 ครั้ง ท่านได้ขึ้นชกกับนักมวยรุ่นพี่ที่มีชื่อเสียง ขึ้นชกครั้งแรกท่านแพ้น็อค ด้วยความตั่งใจท่านกลับมาฝึกฝนอีก แล้วขึ้นชกอีกครั้งผลออกมาว่าเสมอกัน ท่านไม่
ย่อท้อตั่งใจฝึกฝนแล้วกลับไปชกอีกครั้ง ครั้งนี้คุณพ่อเที่ยงท่านชกชนะน๊อคครูต่อสู่รุ่นพี่คนเดิมราบคาบ และพ่อเที่ยงก็ตั้งใจที่จะไม่ขึ้นชกมวยอีกเลย
ตอนที่ 3
ในสมัยนั้นทั้งเขตพระนคร และเขตธนบุรีนั้น มีคณาจารย์ทั้งพระ และอาจารย์ฆราวาสผู้เรืองพระเวทวิทยาคมอยู่มากมาย ด้วยความชื่นชอบ และเคารพศัทธาต้องการวิชาไว้คุ้มตัว คุณพ่อเที่ยงได้เดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์คณาจารย์ทั้งพระและอาจารย์ฆราวาสผู้ทรงพระเวทวิทยาคมในยุคนั้นหลายท่าน
สมัยนั้นพระเกจิอาจารย์ต่างๆจะรับใครเป็นศิษย์ซักคนนั้นยากเหลือเกิน ต้องผ่านการทดสอบความตั้งใจ ใช้เวลา ใช้แรงกายแรงใจ และสติปัญญา จนผ่านการทดสอบ ครูบาอาจารย์ท่านถึงจะรับเป็นลูกศิษย์ แต่ด้วยความตั้งใจจริงของคุณพ่อเที่ยงที่ต้องการขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ คุณพ่อเที่ยงได้อดทนไม่ย่อท้อ จนผู้เป็นอาจารย์ยอมรับเป็นลูกศิษย์ คุณพ่อเที่ยงได้ปฏิบัติดูแลครูบาอาจารย์อย่างดีเสมอต้นเสมอปลาย จนเป็นที่ไว้ใจของครูบาอาจารย์ จนครูบา
อาจารย์ท่านเมตตา สั่งสอนพระเวทมนตร์คาถาต่างๆให้คุณพ่อเที่ยงจนหมดสิ้น คุณพ่อเที่ยงท่านมีทั้งพรแสวง และมีทั้งพรสวรรค์ ท่านมีความรู้เรื่องหนังสือขอมมาตั่งแต่ในวัยเด็ก เมื่อเรียนคาถาเลขยันต์ใดๆก็เรียนและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และอ่านเขียนอักขระได้อย่างคล่องแคล่วเขียนอักขระเลขยันต์ได้สวยงามยิ่งนัก เมื่อครูบาอาจารย์สั่งสอนพระเวทมนต์ และวิทยาคมใดๆ คุณพ่อเที่ยงก็สามารถเรียนจำทำเป็นได้จนหมดสิ้น จึงเป็นที่รักที่พึ่งพอใจของครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก
เมื่อตอนคุณพ่อเที่ยงมีอายุได้ 17 ปี (ข้อมูลจากเฮียหงวนถามพ่อเที่ยงเรื่องปู่ชิด) คุณพ่อเที่ยงได้พบกับคุณปู่ชิด คุณปู่ชิดเป็นศิษย์พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) อีกทั้งคุณปู่ชิดยังได้เรียนวิชากับครูบาอาจารย์ยุคเก่า ท่านมีทั้งความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม สามารถเขียนได้ทั้งหนังสือไทย หนังสือขอมและภาษาอังกฤษ ครั้งหนึ่งท่านเคยเขียนชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษให้คนไปจ่ายที่ร้านขายยาได้อีกด้วย คุณปู่ชิดเป็นสหธรรมมิกกับ พระสมุห์ชุ่ม วัดอัมรินทราราม
คุณปู่ชิดท่านสำเร็จอภิญญา ได้เจโตปริยญาณ สามารถรู้เหตุการล่วงหน้าได้ ล่วงรู้ใจคนได้ ท่านเกิดในตะกูลผู้มีทรัพย์สินมาก แต่ท่านละทิ้งทั้งหมด ท่านได้มาอาศัยอย่างสมถะอยู่ที่วัดสุวรรณาราม คุณพ่อเที่ยงค่อยดูแลท่านคอยส่งข้าวส่งน้ำ ภายหลังเมื่อท่านชราเจ็บป่วย คุณพ่อเที่ยงได้นำท่านมาอยู่ที่บ้าน และดูแลคุณปู่ชิดจนท่านถึงแก่มรณกรรม เชื่อกันว่าคุณปู่ชิดสำเร็จธรรมชั้นสูง เมื่อยามคุณปู่ชิดมีชีวิตอยู่นั้น ท่านมีอภินิหารมากมายเป็นที่เล่าขานมาจนปัจจุบัน เช่นเรื่อง เดินตากฝนไม่
เปียก เอามือเปล่าฟันแผ่นรั้วสังกะสีฉีกแต่มือของท่านไม่ได้รับอันตรายใดๆ ย่นระยะทาง คนเดินตามไม่ทัน ล่วงรู้ใจคน และยังมีเรื่องราวอภินิหารอีกมากมาย คุณปู่ชิดท่านนี้เป็นครูบาอาจารย์ท่านสำคัญของพ่อเที่ยง และคุณปู่ชิดท่านนี้เป็นผู้แนะนำให้คุณพ่อเที่ยงได้เล่าเรียนพระกรรมฐานเพื่อฝึกจิต และได้พาไปฝากตัวเรียนวิชากับครูบาอาจารย์ต่างๆมากมาย อาทิเช่น.
ตอนที่ 4
ครูแฉ่ง ท่านผู้นี้เป็นอดีตทหารแม่ทัพวังหน้าไดร่ำเรียนวิชาสายวังหน้ามา
มากมาย เมื่อสิ้นรัชการภายหลังจึงเป็นครูสัก ครูแฉ่งเป็นครูสักยันต์รุ่นเก่าแก่ คุณพ่อเที่ยงได้ไปพบท่านครูแฉ่งเมื่อตอนท่านแก่ชรามากแล้ว คุณพ่อเที่ยงเล่าว่าแรกเริ่มไปกราบขอเป็นศิษย์นั้นท่านโดนลองใจมากมาย แต่ท่านไม่ย่อท้อแวะเวียนไปปฏิบัติรับใช้ ตักน้ำ ถูบ้าน ช่วยงานบ้าน เวลากินข้าวก็ให้ไปหาข้าวกินเอง กราบครูก็ถูกไล่ให้ไปกราบพระ พอไม่กราบก็ด่าว่าไม่เคารพครูจะสู้ครู ขอน้ำลายในปาก ครูแฉ่งก็บ้วนทิ้งลงพื้น บอกนั่นไงน้ำลายยากได้ก็ไปเก็บเอา ถูกว่าถูกบ่น ถูกด่านาน
หลายวัน แต่ท่านก็อดทนไม่ย่อท้อ จนครูแฉ่งเห็นความจริงใจ ความตั้งใจ พอวันดีคืนดี ครูแฉ่งจึงให้นำดอกไม้ธูปเทียนเข้ามากราบไหว้เพื่อรับตัวเป็นศิษย์ ครูแฉ่งท่านมีอายุถึงร้อยกว่าปี จึงถึงแก่กรรม ครูแฉ่งมีวิชาการสักยันต์โบราณ มีวิชายันต์นะและยันต์ท้อพิศดานต่างๆ ยันต์พระนารายทรงครุฑ พระลักษณ์ทรงหนุมาน เป็นยันต์โบราณอันสืบทอดมาตั่งแต่ครั้งต้นกรุง ยันต์นะ108 หัวใจ108 โองการเสกน้ำมันกินบ้างทาตัวบ้าง ตำหรับตำราล้วนมาจากตำราพิชัยสงครามสมบัติวังหน้า
ตกทอดกันมาแต่โบราณ อีกทั้งมากมายด้วยพระคาถาโองการออันศักดิ์สิทธิ์ ครูแฉ่งท่านนี้เป็นผู้สำเร็จยันต์บัวแก้ว ซึ่งเป็นยันต์โบราณที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก แต่ละกลีบบัวจะมีความหมายอันเป็นมหามงคล เป็นยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ยันต์บัวแก้วนี้เองเป็นยันต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับคุณพ่อเที่ยงเป็นอย่างมาก เพราะลูกศิษย์ที่ได้รับการสักยันต์บัวแก้วนี้ไปนั้นต่างได้มีประสบการณ์ต่างๆมากมายเล่าไม่รู้จบ ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย คงทนต่อศาสตราวุท ยันต์บัวแก้ว
นี้จะสักได้ต้องมีการไหว้ครูขึ้นบายสีหัวหมูถึงจะสักได้ ถือเป็นยันต์สำคัญที่สุด นอกจากวิชาอาคมต่างที่ได้รับสืบทอดมา คุณพ่อเที่ยงยังได้รับของจากปู่แฉ่งเป็นของสำคัญสืบทอดมาดั่งนี้ องค์ปู่ฤาษีวังหน้าเป็นรูปปั้นปู่ฤาษีโบราณตกทอดมาจากวังหน้ามีความขลังความศักดิ์สิทธิ์มาก อีกทั้งได้รับขันครูเป็นขันสัมริดโบราณและปั้นน้ำชาของปู่แฉ่งตกทอดมาเป็นสมบัติอีกด้วย
ครูแสงเป็นครูสักยันต์ มีเครื่องหมายยุคแรกสักเครื่องหมายเป็นจุดสามจุด มีพวก
จีนอั้งยี่สักกันมากจนดูเครื่องหมายสามจุดเป็นเครื่องหมายของพวกกบฏอั้งยี่ ครูแสงจึงเปลี่ยนสัญลักษณ์จากสามจุด เป็นสัก สอเสือสองตัว ส.เสือตัวที่1หมายถึง ส.สยาม ส.เสือตัวที่ 2 หมายถึง ส.ซื่อสัตย์ ภายหลังเปลี่ยนเป็นสัก ส.เสือตัวเดียว หมายถึง แสงสยามซื่อสัตย์ ครูแสงเป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก เสียชีวิตในปีพ.ศ.248ต้นๆ การไปฝากตัวเป็นศิษย์ครูแสงนี้ คุณปู่ชิดเป็นผู้พาคุณพ่อเที่ยงไปฝากตัวเป็นศิษย์ครูแสงที่บ้านบริเวณตรอกไก้แจ้ ครูแสงเก่งเรื่องโองการคาถาต่าง
เช่นคาถาเกราะเพชร คาถาเอิกเริก โองการทำน้ำมนต์ และการสักยันต์โบราณต่างๆเช่น สักยันต์คาถาเกราะเพชรบริเวณด้านหลัง ด้านหน้าสักเป็นยันต์พวงมาลัยและนะอุตตะรัง นะนางกวัก นะจินดามณี นะขุนแผน และยันต์มังกร และยันต์ตัวท้อต่างๆ คุณพ่อเที่ยงได้รับการเรียนวิชาการสักยันต์และโองการพระคาถาต่างๆสูตรสนธิ และตัวท่านก็ไดรับการสักยันต์จากปู่แสงด้วย คุณพ่อเที่ยงมีศิษย์รุ่นพี่ร่วมสำนักคุณปู่แสง คือครูปลั่งมีอายุมากกว่าคุณพ่อเที่ยงสิบกว่าปี ปัจจุบันมีมรดก
ตกทอดมาคือ เข็มสักยันต์ของปู่แสง เข็มสักยันต์ของครูปลั่ง
ครูสุ่น พญาไม้ ท่านเป็นคนเชื้อสายจีนเก่งเรื่องโหราศาสตร์ เคยเป็นโหรหลวงสมัยรัชการที่6มาก่อนมีอายุยืนมาก คุณพ่อเที่ยงนับถือปู่สุ่นมาก เพราะท่านมีเจโตปริยญาณ ล่วงรู้ใจคนสามารถรู้เหตุการล่วงหน้าได้ ครูสุ่นมีทั้งวิชาไทย และวิชาจีนสามารถเขียนฮู้จีนต่างๆได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ครูสุ่นดูดวงคน คนหนึ่งดูครั้งเดียวสามารถบอกได้ตั้งแต่เกิดยันตาย ในสมัยนั้นครูสุ่นเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงมาก
กระดานชนวนที่ใช้ในการดูดวง ท่านใช้ขีดเขียนจนกระดานทะลุ นั่งดูดวงทั้งวันหลังพิงฝาบ้านจนเหงื่อกัดไม้ฝาบ้านเกือบทะลุ คุณพ่อเที่ยงได้รับปู่ฤาษีตกทอดมาบูชา 1 ตน ครูสุ่นเคยทำนายว่าต่อไปคุณพ่อเที่ยงจะเป็นอาจารย์สักยันต์มีลูกศิษย์มากจะได้พาลูกศิษย์ทำบุญทำกุศลจะได้สร้างวัดสร้างโบสถ์ ภายหลังคุณพ่อเที่ยงก็ได้พาคณะลูกศิษย์สร้างวัดพระงามสร้างโบสถ์จนเสร็จสิ้นตามคำที่ครูสุ่นเคย
ทำนายไว้จริงๆ
ยังมีครูบาอาจารย์มีมากที่คุณพ่อเที่ยงได้ไปศึกษาวิชาอีกมากมาย อาทิเช่น ครูจรูญเมืองลพเก่งเรื่องวิชาหนุมานแบบต่างๆ เช่นหนุมานสามหน้าแปดกร หนุมานทรงเครื่อง ว่ากันว่า ครูจรูญมักนั่งเอาเท้าแช่น้ำเอาไว้เนื่องจากท่านร้อนวิชา ครูด้วงเรียนวิชาหมูทองแดง ครูตี๋ ครูชม ครูเติม ครูเล็ก ครูฉิม ครูชื่น ครูไปล่ พระอาจารย์ชุ่ม พระอาจารย์บด พระอาจารย์เปลี่ยน พระอาจารย์ป๊อก พระอาจารย์แป้น พระ
อาจารย์ตี๋ และคณาจารย์ต่างๆอีกมากมายหลายรายชื่อที่ท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนและจดบรรทึกรายชื่อครูบาอาจารย์เจ้าของวิชาต่างๆเอาไว้ข้อมูลรายชื่อครูผู้เรียบเรียงขอลงรายชื่อครูแค่พอเป็นสังเขปเท่านั้น
ตอนที่ 5
ช่วงอายุ 17-20 ปี ประมาณปีพี่.ศ.2472นั้น คุณพ่อเที่ยงได้หายออกจากบ้านเดินทางไปตามที่ต่างๆเมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่เก่งๆก็จะขอร่ำเรียนวิชาไปเรื่อย จน
ได้พบอาจารย์ลี พระแสง บ้านอยู่มีนบุรี คุณตาลี พระแสง ท่านนี้เป็นนายฮ้อยเก่าบ้านเดิมอยู่อาจสามารถ ท่านมาได้ภรรยาชื่อแม่เปีย พระแสง เป็นชาวมอญอยู่มีนบุรี มีลูกสาวสุดสวยชื่อแม่บุญมี พระแสง(ต่อมาคือภรรยาขออาจารย์เที่ยง)พระแสงคุณตาลีเป็นผู้มีมีวิชาอาคมทางอีสานมาก เป็นผู้สอนให้คุณพ่อเที่ยงเล่าเรียนอักขระตัวธรรมอีสาน(ไทยน้อย)ได้ฝึกทั้งการพูดภาษาอีสานจากตาลี และ
อาเที่ยงได้เรียนการพูดอ่านเขียนภาษามอญจากคุณแม่เปียอีกด้วย คุณตาลีมีวิชาทางภาคอีสานมากมาย ท่านมีวิชากำลังควยตู้ผู้เรียนจะมีกำลังมากสามารถเอาวิ่งเอาหัวพุ่งชนต้นไม้ได้ พุ่งชนจนต้นไม้ใส้แตกตาย ต้นไม้ที่ถูกเอาหัวพุ่งชนหรือถูกเอามือตบต้นนั้นจะยืนต้นตายทันที เมื่อตัดดูจะพบว่าด้านในต้นไม้นั้นใส้แตกตั้งแต่โคนยันปลาย เมื่อไปอยู่ขอเรียนวิชากับคุณตาลีก็แล้ว ในย่านมินบุรียุคนั้นไม่มีใครมีชื่อเสียงไปมากกว่า
หลวงปู่ทองวัดราชโยธา คุณพ่อเที่ยงได้ไปขอกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองวัดราชโยธา คุณพ่อเที่ยงท่านเล่าท่านไปพบหลวงปู่ทองในช่วงหลวงปู่ทองชราภาพมากแล้ว หลวงปู่ทองฉันมากเก่งมาก วันนึงต้องเตรียมตำหมากให้หลวงปู่ฉันถึงวันละเป็นทะลาย หลวงปู่ทองมักกล่าวกว่าศิษย์ฉันเป็นคนดีทั้งนั้นและท่านจะชอบพ้นน้ำหมากให้พร คุณพ่อเที่ยงเที้ยวแวะเวียนไปขอวิชาหลวงปู่ทองหลายครั้ง ในขณะรับราชการเป็นตำรวจเกณฑ์ก็ได้นำเสื้อไปขอให้หลวงปู่ทองลงเสื้อยันต์ให้
หลวงปู่ท่านได้เป่าพ่นน้ำหมากใส่เสื้อเต็มไปหมดและให้สมเด็จชานหมากมา 1 องค์ ท่านเคยได้พบท่านอาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ ท่านอาจารย์แก้วเป็นศิษย์รุ่นพี่ของคุณพ่อเที่ยง ท่านทั้งสองได้เคยร่วมกันทำพิธีสักให้ทหารเรือที่วัดระฆัง ในปี2494 ท่านอาจารย์แก้วเรียกคุณพ่อเที่ยงว่า ทิดเที่ยง คุณพ่อเที่ยงเรียกท่านอาจารย์แก้วว่า พี่ทิดแก้ว ท่านทั่งสองมีความสนิขสนมกันมีความรักด้วยความเป็นศิษย์หลวงปู่ทองเช่นกัน
ในย่านมินบุรีหนองจากนั้น นอกจากหลวงปู่ทอง และคุณตาลีแล้ว คุณพ่อเที่ยงยังได้ไปขอกราบฝากตัวเป็นศิษย์ของครูแป๊ะหนองจอก คุณพ่อเที่ยงได้เดินทางไปขอเรียนสักยันต์จากครูแป๊ะหนองจอก มีนบุรี ได้วิชาสักยันต์โบราณต่างๆเช่น ยันต์เสือคู่ ยันต์สิงห์ วิชากุมารทอง คาถาเกราะและอักขระเลขยันต์นะต่างๆการสักยันต์โบราณมากมาย
อีกทั้งยังได้ไปเรียนวิชาจากอาจารย์ต่างๆตามบันทึกรายชื่อครูบาอาจารย์ที่
บันทึกไว้คุณพ่อเที่ยงเดินทางไปทั่วภูมิภาคของประเทศไทย เหนือใต้ ออก ตก จนถึงตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร พม่า
ตอนที่ 6
จนถึงปี พ.ศ.2475 คุณพ่อเที่ยงอายุได้ 20ปี บริบูรณ์ ในสมัยนั้นเมื่อชายไทยที่มีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ จะต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร หรือ เกณฑ์ตำรวจ เพื่อรับใช้ชาติ คุณพ่อเที่ยงท่านได้ถูกเกณฑ์เข้ารับราชกาลเป็นตำรวจเกณฑ์ หมวกแดงแข่งดำเป็นเวลา 2 ปี ในช่วงที่รับราชการเป็นตำรวจเกณฑ์หมวกแดงแข่งดำ
อาจารย์เที่ยงก็เดินทางไปกราบหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ขอให้หลวงปู่ทองท่านลงเสื้อยันต์ให้ หลวงปู่ท่านได้เป่าพ่นน้ำหมากใส่เสื้อ (ภายหลังเสื้อตัวเลอะน้ำหมากได้ให้เพื่อนเกลอไป) และหลวงปู่ทองได้ให้สมเด็จชานหมากมา 1 องค์
ครูด้วงวัดเกาะเจ้าของวิชาสักหมูทองแดง ครูด้วงท่านนี้ท่านเป็นครูสักยันต์ ตัวพ่อเที่ยงเองครูด้วยก็ได้สักหมูทองแดงให้หนึ่งตัว ครูด้วงนั้นหนังดีแต่เป็นคนที่ขอบดื่มเหล้า ท่านชอบดื่มเหล้าจนเมามาย จนวันหนึ่งโดนคนหมั่นไส้ตีจนสลบแล้ว
จับใส่กระสอบเย็บปากแล้วโยนทิ้งคลองหน้าวัดเกาะพวกที่ทำร้ายคิดว่าอย่างไรก็ต้องตายแน่แล้ว แต่เมื่อเวลาเช้าผ่านมาก็เจอตัวครูด้วงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ศาลาหน้าวัดเหมือนเดิม
ในช่วงที่อาจารย์เที่ยงรับราชการเวลานั้นเมื่อว่างๆก็ใช้เวลาว่างทบทวนวิชาที่ได้เล่าเรียนมา จนเมื่อปลดประจำการแล้ว ด้วยความตั้งใจที่ต้องการเรียนพระเวทวิทยาคมให้แตกฉาน (คุณพ่อเที่ยงมีคติว่า จะเรียนรู้วิชาการใดแล้ว ต้องตั้งใจเรียน
ให้แตกฉาน “เรียนให้รู้เป็นครูเขาได้”)
ขณะที่ปลดประจำการนั้น ต้นปี พ.ศ.2477
คุณพ่อเที่ยงมีอายุได้ 21 ปี ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคม กับ คณาจารย์ทั้งพระและอาจารย์ฆราวาสในเขตพระนครและธนบุรีจนพอสมควรแล้ว ในขณะรับราชการเป็นตำรวจเกณฑ์นั้นคุณพ่อเที่ยงได้ยินว่า ในเขตต่างจังหวัดต่างๆรอบนอกพระนครนั้น ยังมีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษทรงความรู้ ในเขตต่างจังหวัดนอกพระนครอีก
มาก ท่านจึงอยากเดินทางออกไปแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาความรู้เพิ่มเติมให้วิชาอาคมแก่กล้ามากยิ่งขึ้น
คุณพ่อเที่ยงเดินทางไปทั่วภูมิภาคของประเทศไทย เหนือใต้ ออก ตก จนถึงตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร พม่า ไปชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้าไปจนถึงปิล๊อก บ้องตี้ มะละแม่ง เขตพม่า ได้พบอาจารย์หม่อง ได้พบอาจารย์มันดเล ขอเรียนวิชาหมูทองแดง คุณพ่อเที่ยงได้
ร่ำเรียนวิชาอาคมจากอาจารย์หม่องและอาจารย์มันดเลมาจนหมดสิ้น และเดินทางกลับเข้ากาญจนบุรีในป่ากาญจนบุรีนี้ได้พบกับอาจารย์เฒ่าเสือขบ ท่านพ่อเที่ยงเล่าว่าเฒ่าเสือขบท่านนี่ ตอนที่ไปพบมีอายุมากแล้วแต่ดูแข็งแรงมีผมยาวอาศัยอยู่กับภรรยาหนึ่งคน มีวิชาเสือสมิง มีวิชาสามารถแปลงกายออกเป็นเสือไปล่าเอาสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร เฒ่าเสือขบจะทำน้ำมนต์ให้เมียเอาไว้ เมื่อแปลงเป็นเสือสมิงไปหาอาหารกลับมาแล้วก็จะให้ เมียก็จะเอาน้ำมนต์ที่เฒ่าเสือขบทำเอาไว้ราดลง
บนตัวเสือรางเสือก็จะกลับกายเป็นเฒ่าเสือขบดั่งเดิม อาจารย์เฒ่าเสือขบนี้เนื้อหนังคงศาสตราเก่งทางวิชาอาบน้ำว่านยา คุณพ่อเที่ยงเคยขอทำพิธีอาบว่านยา อาจารย์เฒ่าเสือขบถามว่าบวชมาหรือยัง คุณพ่อเที่ยงตอบว่ายังไม่ได้บวช อาจารย์เฒ่าเสือขบบอกว่าผู้ที่จะเข้าพิธีอาบน้ำว่านยาต้องเป็นผู้ที่บวชแล้วเท่านั้น คุณพ่อเที่ยงก็เลยไม่ได้อาบน้ำว่านยา (การอาบว่านยามีหลักว่าต้องบอกก่อนล่วงหน้า 1 ปี เพื่อจะได้เตรียมตัวยา ในพิธีอาบว่านยาจะเตรียมมีดโกน กรรไกร ไว้ใช้ตัดหนวด
ตัดผม หากชุดที่เตรียมไว้หายไปใช้มีดโกนกรรไกรอื่นก็โกนหนวดตัดผมไม่เข้า) เมื่อทำพิธีอาบน้ำว่านยาไม่ได้ ท่านจึงเดินทางกลับเข้าสู่พระนครเพื่อตั่งใจจะมาบวชให้แม่แมว
ตอนที่ 7
ก่อนจะบวชคุณพ่อเที่ยงใช้ชีวิตเดินทางไปเรื่อยๆอาศัยอยู่ตามวัดบ้างรับจ้างบ้าง รับสักบ้างพอจะมีปัจจัยไว้ดำรงชีวิต และทำงานปฏิบัติรับใช้ครูบาอาจารย์เพื่อขอศึกษาเล่าเรียนพระเวทวิทยาคม ในช่วงประมาณปีพี่.ศ.2478 ท่านได้พบรักกับ
คุณแม่บุญมี พระแสง (บุตรสาวของคุณตาลี พระแสง) และคุณพ่อเที่ยงได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆมากมาย หลักฐานตามที่ท่านบันทึกไว้ในตำราทอดตกทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านมีความรู้ทั้งวิชา ไทย แขก ขอม ลาว มอญ พม่า บาลี สันสกฤต ว่านยาชาตรีจนหมดสิ้น )
คุณพ่อเที่ยงเป็นอาจารย์สักยันต์ตั่งแต่ยังหนุ่ม จากหลักฐานที่ปรากฏเป็นพิมพ์สักยันต์บัวแก้วด้านหลังได้จารึกไว้ว่า พ.ศ.2478
ในปี พ.ศ. 2479 คุณพ่อเที่ยงได้อุปสมบท
ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุ 24 ปี วันที่ 21 มิถุนายน 2479 ณ พัทธสีมา วัดอัมรินทราราม(วัดบางหว้าน้อย) จังหวัดธนบุรี(ชื่อเรียกในสมัยนั้น)
มี พระครูปริยัตติธรรมคุณาธาร เป็นพระอุปัชฌาย์
พระสมุห์ชุ่ม วัดอัมรินทร์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระมหาจวน วัดอัมรินทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เวลา 15:30 น. พระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "ภทฺธโก" คุณพ่อเที่ยง บวชอยู่ในเพศบรรพชิตเป็นเวลา 3 พรรษา ท่านได้เล่าเรียนวิปัสนากรรมฐาน จากพระสมุห์ชุ่ม วัดอัมรินทร์ ได้ปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ออกพรรษาท่านก็ไปลุกขมูล (เดินธุดงค์) ตลอดทั้ง 3 พรรษา(มีเรื่องราวรายละเอียดขณะบวชและรายละเอียดเกี่ยวกับพระสมุห์ชุ่ม)
ข้อมูลจาก อ.ป่อง น่วมมานา, อ.บูรณ์ น่วมมานา เฮียหงวน, เฮียสามชัย และคณะศิษยานุศิษย์ท่านต่างๆอีกหลายท่านที่ไม่ประสงค์ออกนาม
เรียบเรียงโดย "ทีมงานศิษย์บ้านมีดี" และนำออกเผยแพร่ผ่านช่องทางเพจเฟสบุ๊ค "พ่อเที่ยง น่วมมานา วัตถุมงคล,แจ้งข่าวสารบ้านมีดี"
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย