12 ก.ย. 2022 เวลา 14:28 • ท่องเที่ยว
Tips for Switzerland Trip : เรื่องไหนควรรู้ ?? อะไรที่ควรเตรียมมาบ้าง ??
มาเที่ยวที่สวิตเซอร์แลนด์ อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ถือได้ว่าค่าครองชีพแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แล้วเวลาที่เรามาเที่ยวอะไรบ้างที่ควรเตรียมมา เราก็เก็บประสบการณ์เอาจาก 2 ทริปที่ผ่านมาสำหรับการมาเที่ยวที่ประเทศนี้มาสรุปให้ฟังนะ
น้ำประปาดื่มได้
น้ำดื่มในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นๆ จะเหมือนกับหลายๆ ประเทศในยุโรป ที่น้ำประปาสามารถดื่มได้เลยทันที ง่ายๆ แบบว่าเปิดจากก๊อกแล้วกินได้เลย ถ้าไม่อยากจะเสียเงินซื้อน้ำดื่มกิน ก็แนะนำให้พกกระติกน้ำมาด้วย ก็จะสะดวกมากในการเติมน้ำใส่กระติกแล้วพกพาไปเที่ยวไหนต่อไหนได้เลย
หรือว่าถ้าใครขี้เกียจจะพกกระติกน้ำมาจากที่ไทย ก็ไปหาซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ต อย่างพวก Coop , Migros , Denners แล้วพอดื่มหมดแล้วก็สามารถเอาขวดไปเติมน้ำก๊อกทานได้
ข้อควรระวังเลยเวลาไปซื้อน้ำเปล่าที่ซุปเปอร์มาเก็ต คือน้ำที่นี่จะมี 2 ประเภท
  • น้ำดื่มปกติ (Still water / Mineral water) แบบนี้จะเป็นน้ำดื่มทั่วๆไปที่เราคุ้นเคย
  • น้ำดื่มอัดแก๊ส (Sparkling Water) มันก็จะแบบกินโซดาบ้านเรา
ที่ต้องเอามาเตือนเพราะซื้อผิดมาแล้ว จะเอาน้ำมาผสมเกลือล้างจมูก (สำหรับมนุษย์ภูมิแพ้) ดันไปหยิบ Sparking water น้ำดื่มอัดแก๊สมา มารู้ว่าซื้อผิด ก็ตอนเปิดขวดจะใช้นั้นแหละ เปิดปุ๊บเสียงซ่าส์มาเลย เลยรู้ตอนนั้นแหละ ว่าพลาดแล้วตรู เสียเงินไป 0.35 CHF ( 13 บาท) ฟรีๆ ไป แต่สุดท้ายก็เอามาดื่มปกติ ก็โอเคเหมือนกันนะ
ราคาน้ำดื่มที่นี่เอาจริงๆ ราคาก็ไม่ได้แรงมาก ถ้าเทียบกับค่าครองชีพอันมหาโหด ราคาที่เราเห็นก็จะประมาณ 0.35 CHF หรือประมาณ 13 บาท ( 1 CHF = 38 บาท) สำหรับน้ำดื่ม 1.5 ลิตร ถ้าเป็นพวกน้ำแร่ก็จะราคาเพิ่มขึ้นมา แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน แต่ว่าน้ำฟรีก็ดีกว่าแหละไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ
อีกอย่างถ้าระหว่างเดินทางน้ำหมดก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่าระหว่างทางจะมีน้ำพุให้เราสามารถเอาขวดไปรองเติมน้ำได้ น้ำที่กินได้ เค้าจะมีป้ายเขียนไว้ แต่ว่าน้ำก๊อกบนรถไฟจะเป็นน้ำที่ไม่สามารถดื่มได้ เค้ามีป้ายบอกไว้แหละไม่ต้องห่วง
ระบบไฟฟ้าใช้กระแสไฟฟ้า 220 v แบบที่ไทย แต่หัวปลั๊กเป็นแบบกลม
ระบบไฟฟ้าที่สวิตเซอร์แลนด์ใช้กระแสไฟฟ้า 220 V เหมือนที่ประเทศไทย ที่ปลั๊กที่สวิตเซอร์แลนด์ส่วนใหญ่จะเป็นปลั๊กแบบกลม มีแบบ 2 ขาบ้าง 3 ขาบ้าง คือถ้าเรามีปลั๊กแบบหัวกลมเราก็สามารถเสียบใช้ได้เลย แต่ว่าในความเป็นจริงไม่ใช่ปลั๊กทุกชนิดที่เรามีจะเป็นแบบหัวกลม
เพราะฉะนั้นแนะนำว่า ให้พกหัวปลั๊กกลม หรือว่า Universal ปลั๊กไปด้วย เพราะไม่ว่าเราจะเจอปลั๊กประเภทไหน เราก็สามารถที่จะเสียบใช้งานได้ อีกอย่างที่แนะนำให้เอาไปด้วยคือ ปลั๊กพ่วง เพราะว่าเดี๋ยวนี้พูดได้เลยว่าเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พกติดตัวไปมากกว่า 1 อย่างแน่นอนนนน ซึ่งจะมารอให้ชาร์จไฟทีละอย่างก็คงไม่ใช่ เราเลยจะพกปลั๊กพ่วงไปด้วยเสมอ
พอถึงโรงแรมสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกๆเลยคือ การตั้ง Charged Station เราจะชาร์จทุกอย่างรวมกันไว้ในที่เดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเตรียมไปอย่างที่บอกเลยคือ หัวปลั๊ก Universal แล้วก็ปลั๊กพ่วง แค่นี้เราก็สามาถชาร์จเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างได้แบบพร้อมเพียงกัน ไม่ต้องเสียเวลา
ส่วนมากบนขบวนรถไฟ จะมีปลั๊กไฟไว้ให้ เราสามารถชาร์จแบตโทรศัพท์ได้เลย ถ้าเรามีหัวปลั๊ก Universal ติดตัวไว้ แน่นอนว่าโทรศัพท์เวลาที่พกไปเที่ยวเราใช้งานโทรศัพท์แบบหนักหน่วงแน่นอน เวลาที่เรานั่งรถไฟระหว่างเมือง เราก็จะสามารถชาร์จแบตโทรศัพท์ได้แบบไม่ต้องพึ่งพา Power Bank
ซิมโทรศัพท์แบบไหนดีกว่ากัน ระหว่าง Sim2fly กับ Prepaid @SwissCom
ซิมโทรศัพท์ทั้ง 2 แบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน เราสรุปให้ฟังตามนี้ Sim 2fly เวลาที่เราเดินทางไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ เราสามารถใช้บริการได้ทันที แต่ในขณะที่ Prepaid Sim ของ SwissCom เราต้องไปตามหาร้านเพื่อซื้อซิมการ์ด ซึ่งก็ไม่ง่ายนักในการหาร้านSwissCom อีกอย่างคือ Sim2fly นั้นสามารถใช้ได้นานถึง 15 วัน แต่ว่า Prepaid Sim ของ SwissCom นั้นใช้ได้เพียง 7 วัน
ถ้าดูราคาจะเหมือนว่าซิมการ์ดทั้ง 2 แบบนั้นราคาเท่าๆกันคือประมาณ 8-9ร้อยบาท แต่ถ้าหารเป็นจำนวนวันที่ใช้ได้จะเห็นได้ Sim2fly นั้นถูกกว่า แต่ก็ใช่ว่า Sim2fly จะไม่มีข้อเสีย เพราะถึงแม้ว่าจะใช้ได้จำนวนวันที่มากกว่า แต่ว่าdata ที่ใช้จำกัดเพียง 6 GB เท่านั้น แต่ Prepaid Sim ของ SwissCom เป็นแบบ Unlimited
สุดท้ายในเรื่องของสัณญานโทรศัพท์สำหรับเราที่ใช้มาทั้ง 2 อย่าง Prepaid Sim ของ SwissCom นั้นดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด เปิดอะไรก็รวดเร็วกว่า แต่ Sim2fly ก็มีช้าหน่วงๆบ้าง
ส่วนมากเวลาที่เราไปเที่ยวเราจะเริ่มต้นทริปโดยการใช้ Sim2fly ใส่ใน Pocket Wifi แล้วกระจายสัณญานออกมาให้กับโทรศัพท์อีก 2 เครื่อง แต่ด้วยความที่เราก็ใช้ Google map บ้าง upload รูปลง Facebook , IG ตลอด ทำให้สุดท้ายแล้ว Internet ใช้ไปได้ครึ่งทริปก็หมดแล้ว เราก็จะใช้ Prepaid Sim ของ SwissCom ต่ออีก 7 วันแบบ unlimited สบายๆเลย
โรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ต้องจ่าย City Tax ต่างหาก
โรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ต้องจ่าย City Tax ต่างหาก เพราะฉะนั้นเวลาที่จะแลกเงิน หรือว่าเตรียมงบประมาณอย่าลืมเตรียมเงินส่วนนี้ไปด้วย แต่ละเมืองก็จะมี City tax ที่ไม่เหมือนกัน บางเมืองจะคิดเป็นเงินต่อห้อง /คืน บางเมืองจะคิดตามจำนวนคน / ต่อคืน ที่เราเคยจ่ายจะมีแบบคิดเป็นคนจะเป็นคนละ 3 CHF ต่อคืน หรือบางทีก็คิดเป็นต่อห้อง 6 CHF ต่อคืน (ควินน์อายุ 5 ขวบ โรงแรมไม่คิดค่า City tax กรณีคิดแบบต่อคน) เกือบจะทุกโรงแรมที่เราเข้าพัก จะให้จ่าย City Tax ตั้งแต่ตอนที่เรา Check-in ห้องพักเลย
เวลาที่เราจองที่พัก ในใบจองให้ลองสังเกตดูดีๆ เพราะเค้าจะมีหมายเหตุเอาไว้ ว่าจะต้องจ่าย City Tax เพิ่มประมาณเท่าไร
เงินสดไม่ต้องพกเยอะ ใช้ Card ได้เกือบหมดทุกที่
รอบนี้เราแรกเงินสดไปน้อยมากแค่ 100 CHF ที่เหลือเราใช้ Travel Card ทั้งหมดในทริป แทบจะทุกที่ในสวิตเซอร์แลนด์รับการ์ดหมด ที่เราไป 11 วัน มีร้านเดียวเท่านั้นที่ไม่รับ card เป็นร้านขายไอติมในเมืองเล็กๆ ที่เหลือรับการ์ดหมด ขนาดร้านขายอาหารที่เป็นเหมือน Kiosk เล็กๆ ริมทะเลสาบยังมีเครื่องไว้สำหรับรูดการ์ดเลย
การไม่พกเงินสดไปเยอะ ก็รู้สึกปลอดภัยกว่าเยอะ ถ้ากระเป๋าสตางค์หายหรือว่าโดนขโมย บัตรเรายังอายัดได้ ส่วนเงินสดถ้าไปแล้วก็คือไปเลย แต่เวลาที่ใช้บัตร Travel Card ที่ต่างประเทศต้องอย่าลืมรหัสบัตรที่เราตั้งไว้ แต่ประมาณ 80% ของร้านจะให้เรากดรหัสเพื่อทำการจ่ายเงิน แต่เดี๋ยวนี้การตั้งรหัสในบัตรสำหรับ Travel Card ก็ทำไม่ยากแล้ว แค่เข้าไปตั้งเองใน Application ของธนาคารได้เลย
ซุปเปอร์มาร์เก็ตในสวิตเซอร์แลนด์มีอะไรบ้าง
ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เราจะเจอที่สวิตเซอร์แลนด์ก็จะหนีไม่พ้น 5 อันนี้
  • Migros
  • COOP
  • Denner
  • K Kiosk
  • Aldi
แต่ร้านที่เราจะเข้าบ่อยๆ จะเป็น Migros และก็ COOP ทั้งสองร้านนี้เพราะว่าจำนวนสาขามีค่อนข้างเยอะ แล้วก็จะอยู่ตามสถานีรถไฟ ถ้าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตั้งแบบ Stand alone หรือว่าอยู่ในห้าง จะมีสินค้า อาหารสด ผลไม้ให้เลือกเยอะกว่า แถมหลายอย่างยังราคาถูกกว่าร้านเดียวกันที่ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟอีก
ถ้าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟ จะขายแบบอาหารแบบ Ready to go สามารถซื้อจ่ายเงินแล้วกินได้เลย บางร้านจะมีไมโครเวฟวางไว้หน้าร้านให้ 1 ตัว สำหรับให้อุ่นอาหารที่ซื้อในร้าน แต่ช้อนส้อมต้องซื้อเองนะ ประมาณ 0.10 CHF
ที่เราบอกว่าราคาของสินค้าไม่เท่ากัน ต่างกันตามที่ตั้ง เพราะเราเทียบราคา Coca Cola สมมติถ้าเราซื้อ Coca Cola จากร้าน COOP ที่เป็นซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ ราคาจะอยู่ประมาณ 1.3 -1.5 CHF ไม่เกินนี้ แต่ถ้าเราไปซื้อ COOP to go หรือว่า COOP ที่อยู่ที่สถานีรถไฟ ราคา Coca Cola แบบเดียวกันราคาจะพุ่งขึ้นไปถึงขวดละ 3.5 -4.5 CHF แล้วแต่เมืองที่เราไป มันต่างกันเยอะมาก
สิ่งที่เราชอบทำคือก่อนจะเข้าที่พักเรามักจะไปซื้อน้ำ และ ขนม สำหรับวันรุ่งขึ้นไว้ก่อน จากซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ เพราะว่าเราจะได้ราคาที่ถูกกว่า บางอย่างถูกกว่ามาก แถมบางทีไปใกล้ๆห้างปิด จะมีอาหารมาลดราคาเหมือนที่ไทยเลย ก็จะได้อาหารในราคาประหยัดจากเดิม
แต่ข้อเสียของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่คือ ปิดเร็วมาก บางที่ 18.30 น.ก็ปิดแล้วเราเคยเห็นปิดช้าสุด คือ 20.00 น. แทบไม่มีร้านไหนเปิด 24 ชั่วโมงเลย แถมวันอาทิตย์ปิดอีกจ้า ถ้าอยากจะซื้ออะไรต้องไปหาซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟแทน ก็ต้องยอมจ่ายแพงกว่าปกติ ถ้าอยากกินอะไรในวันอาทิตย์
อยากเข้าห้องน้ำมองหาป้าย WC
อยากจะหาห้องที่สวิตเซอร์แลนด์ สัญลักษณ์ที่ที่นี่ใช้เป็นคำว่า WC ไม่ใช่ Restroom หรือว่า Toilet ในหลายๆประเทศที่เราไปเที่ยวกัน ไปหาความหมายมาให้ WC เป็นคำที่ย่อมาจาก “Water Closet” ซึ่งแปลว่าห้องที่มีน้ำ หรือว่าห้องน้ำนั้นเอง จึงมีคำว่าWC แปะไว้ที่หน้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นคำย่อ
ห้องน้ำจะมีทั้งแบบเสียเงินและก็ฟรี ส่วนมากห้องน้ำที่ต้องเสียเงินจะเป็นห้องน้ำที่อยู่ในเมือง แต่ตามห้าง ร้านอาหาร หรือบนรถไฟเองก็มีห้องน้ำไว้คอยให้บริการอยู่ ห้องน้ำบนรถไฟที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่แย่เลยนะ สะอาดกว่าบางที่อีก แต่ก็แล้วแต่ขบวนที่เรานั่งด้วย แต่ส่วนมากก็จะเจอห้องน้ำที่สะอาดบนรถไฟ
Application อะไรบ้างที่ควรดาวน์โหลด
SBB Mobile Application เป็นแอปที่เอาไว้ดูตารางรถไฟ รถประจำทางที่นี่ได้ การเดินทางที่สวิตเซอร์แลนด์จะเชื่อมต่อกัน เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้ Application นี้ดูได้เลยว่าเราต้องนั่งรถไฟสายอะไร รถประจำทางเบอร์อะไร แล้วรถไฟ รถประจำที่นี่จะตรงเวลามาก เช่นรถไฟ เวลาที่โชว์บนแอปคือเวลาที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะไปขึ้นรถ เราจะต้องไปถึงก่อนเวลาในตาราง เพื่อให้ทันรอบการเดินทาง
Google Map เราสามารถที่จะใช้ Google map สำหรับดูตารางรถไฟ หรือว่ารถประจำทางได้เหมือนกัน ความได้เปรียบของ Google map คือสามารถเป็นแผนที่สำหรับการเดินได้ด้วย หรือจะเอาไว้หาร้านอาหารที่น่าสนใจในระแวกนั้น เราชอบใช้ทั้ง Google map แล้วก็ SBB mobile Application แล้วแต่โอกาส
MetroSwiss เป็นแอปที่เอาไว้ดูสภาพอากาศในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ใช้มา 11 วัน เราถือได้ว่าเป็นแอปที่บอกสภาพอากาศที่ค่อนข้างแม่นยำพอสมควร สมมติบอกว่าฝนจะตกสามทุ่ม ก็จะตกตามเวลานั้นจริงๆ เพราะแอปนี้ช่วยชีวิตให้วิ่งหนีฝนขึ้นรถทันมาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันต้องโหลดไว้ เพราะมันมีประโยชน์จริงๆ
แม้ว่าจะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์มาแล้ว 2 รอบเราก็ยังติดใจประเทศนี้อยู่ดี ถ้าไม่ติดว่าแพงนะอยากจะมาบ่อยๆเลย เพราะยังมีอีกหลายที่ที่เราอยากมาเที่ยว ป่าเขา น้ำตก ทะเลสาบ ไม่ว่าจะฤดูร้อน หรือว่าฤดูหนาว ก็เป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเองเสมอ เอาเป็นว่าได้กลับมาเที่ยวเป็นรอบที่ 3 4 5 6 และอีกเรื่อยๆ แน่นอน
โฆษณา