12 ก.ย. 2022 เวลา 15:47 • ความคิดเห็น
เรื่องพระกับปัจจัยเงินทอง การที่ญาติโยมเค้านำปัจจัยที่เค้าเสาะแสวงหามาด้วยความเหนื่อยยาก อาศัยสังขารพ่อแม่ไปทำมาหากิน เค้าถวายปัจจัย เพื่อบำรุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายต่อผู้ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเครื่องหมายของผู้ที่ขอนิสัยพระ มาประพฤติปฏิบัติธรรม คนที่เค้านำปัจจัยมาถวาย เค้าเห็นแก่เครื่องหมายธรรม ผ้าเหลือง ถ้าไม่มีผ้าเหลือง ใครเล่าจะนำปัจจัยมาถวาย ก่อนถวายก็กราบ นอบน้อม ที่จะถวาย เพราะต้องการให้เกิดเป็นบุญกุศล ถ้าพระไม่รับ ..ขาวบ้านที่เค้ายากจนจะสร้างบุญกุศลอย่างไร ช่วยตอบด้วย
การสร้างบุญกุศล ชาวบ้านจนๆมีเงินห้าบาทสิบบาทหามาได้ก็ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ เวลาทำบุญเค้าก็เห็นว่ามีความสำคัญ นำกิริยาดีๆมาถวายปัจจัยต่อภิกษุ ทำด้วยความนอบน้อมเต็มใจ เพื่อจะได้เกิดเป็นบุญเกิดขึ้น กายมีบุญ จิตเค้าก็เข้มแข็งอยู่ในเรือนกายที่เป็นบุญ ชาวบ้านจนทำบุญด้วยความนอบน้อม แล้วเราไปดูเศรษฐี คนร่ำรวย มียศฐาน เวลาเค้าทำบุญ กลับทำตนยิ่งใหญ่ ต่อเครื่องหมายธรรมก็มีให้เห็น กิริยาที่ทำก็ทำแบบเหวี่ยงไป มันจะเป็นบุญมั้ย ในการใช้กิริยาแบบนั้น
เราก็พิจารณาเอาเอง หรือว่าสมัยนี้ คิดว่าทำบุญที่ใจ ก็เกิดบุญ คิดอย่างนั้น ทำบุญที่ไหนก็ได้ ทำบุญกับหมูกับหมาเป็นแค่ทาน กลับคิดว่าเป็นบุญ
(ที่ว่าทำบุญที่ใจ ..ขอถามนิดหนึ่ง ใจเราเป็นอะไรอยู่กับเรื่องราวอะไร ..ใจเราเป็นใจของพระ เป็นจิตของพระแล้วหรือ ถึงนึกคิดด้วยอารมณ์อุปโลกน์ ว่าทำบุญที่ใจก็เป็นบุญ แล้วเวลาทำบุญ..ต้องทำอย่างไร ให้เกิดเป็นบุญขึ้นมา แล้วบุญนั้นเป็นอย่างไร ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาต่อกายต่อจิต มันเป็นเรื่องราวที่ควรศึกษาในคำว่าว่าบุญ ..มิใช่อะไรก็บุญๆๆ ทำบุญตั้งมากมาย กลับได้กรรมก็มีเยอะแยะ)
พระที่ท่านมีความสังวรในศีลก็มี รับเงินทองมา ก็ไม่เคยนำไปใช้ ส่วนตัว นำไปใช้ตามเจตนาของญาติโยม ที่ต้องการ ..จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ท่านสงเคราะห์ พร้อมทั้งชี้แจง เรืองการสร้างบุญกุศล เรื่องกรรม เรื่องอารมณ์ เรื่องที่ทำอย่างไรจะถึงจะเกิดเป็นบุญ เมื่อทำบุญ ก็ต้องได้รับบุ ญเป็นอย่างไร ได้อานิสงส์อย่างไรเกิดเป็นที่ประจักษ์
ศาสนาจะดำรงอยู่ก็เมื่อมีคนประพฤติปฏิบัติธรรมเกิดขึ้น เดินตามรอยองค์พระสิทธัตถะ ที่ท่านได้กระทำ เมื่อนักบวชมีการประพฤติปฏิบัติธรรม ชาวบ้านที่ทำบุญด้วย ก็ได้รับอานิสงส์ ที่เกิดจากภิกษุที่ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา ยิ่งปฏิบัติธรรมได้ มีสง่าราศีด้วยธรรม ผู้ที่มาสร้างบุญกุศลด้วย ก็ได้รับ ได้สัมผ้สในรัศมีของธรรม ที่ภิกษุรูปนั้นปฏิบัติธรรมได้
เรื่องปัจจัยนั่นมันมีความโลภโกรธหลง แฝงอยู่ ใครเกิดความโลภ เห็นปัจจัยแล้วยึด ยิ่งญาติโยมกล่าวถวายปัจจัย เค้าทำจิตถวายพระพุทธเจ้า มิได้ถวายเจาะจงภิกษุรหนึ่งรูปใด ใช้เงินทองผิดเจตนาเค้า ก็ถือว่ายักยอกแล้ว สิ่งที่ได้ก็คือกรรม แต่นั่นก็ไม่มีใครเกรงกลัว เพราตัวเองก็ไม่รู้ว่ากรรมนั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงน่ากลัว เพราะไม่รู้จักกรรม มันจึงไม่เกรงกลัวกรรม
คนสมัยก่อน เค้าสร้างวัดมาเพื่อ เป็นสถานที่สร้างบุญกุศล สถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่ได้สร้างมาเพื่อการท่องเที่ยว ไม่ได้สร้างมาเพื่อเป็นที่เผาผี ฌาปนกิจสถาน เค้าก็เอาแยกออกไป ไม่เอาศาลาบุญ มาร่วมกับศาลาธรรมสังเวช ไม่เอามาปะปนกัน แต่สมัยนี้ก็เอามารวมกันเป็นศาลาอเนกประสงค์ไปเสีย
หมายเหตุ..เรื่องของเทวทัต นั้นก็เป็นเรื่องราวที่น่า ศึกษาเหมือนกัน คือ เรื่องจิตหนึ่งที่อยากจะเป็นใหญ่ในศาสนา แม้พระพุทธเจ้า ท่านทรงพระชนม์อยู่ก็อยากเป็นใหญ่ เรื่องที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจิตของเทวทัต ทำไมถึงคิดเปลี่ยนแปลง ทำไมทำให้สงฆ์แตกแยก แล้วผลที่ตามมาเทวทัตได้รับอะไร เมื่อจิตออกจากสังขาร
การที่พูดอย่างนี้ มันก็เหมือนเลือนลอย เมื่อเราอยากจะรู้จักจริง เราก็ต้องศึกษาปฏิบัติธรรมขึ้น ให้รู้จักจริง บุญมีจริง กรรมมีจริง บารมีมีจริง จะเป็นคำตอบที่แท้จริงให้แก่จิตของตน ไม่งั้นก็คิดว่า มันเป็นแค่เรื่องราวอุปโลกน์กัน
1
โฆษณา