[ลงทุนแมน] Garmin ผู้นำนาฬิกาออกกำลังกาย กำลังเจอกับความท้าทาย หากพูดถึงนาฬิกาออกกำลังกาย หลายคนน่าจะนึกถึงชื่อแบรนด์ “Garmin”

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

ลงทุนแมน

ยืนยันแล้ว

•

15 ก.ย. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ

Garmin ผู้นำนาฬิกาออกกำลังกาย กำลังเจอกับความท้าทาย

หากพูดถึงนาฬิกาออกกำลังกาย

หลายคนน่าจะนึกถึงชื่อแบรนด์ “Garmin”

แต่ก็ต้องบอกว่าปัจจุบัน Garmin กำลังถูกท้าทายโดย Apple อีกครั้ง

โดยเฉพาะจากการเปิดตัว Apple Watch Ultra เมื่อไม่กี่วันก่อน

ที่เรียกได้ว่าออกมาชนกับธุรกิจของบริษัทโดยตรง

ที่บอกว่าอีกครั้ง ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน

Garmin ก็เพิ่งโดนดิสรัปต์ จากผู้ผลิตสมาร์ตโฟน

ปัจจุบัน Garmin มีมูลค่าลดลง จากจุดสูงสุดที่ 1,200,000 ล้านบาท

เหลือเพียง 640,000 ล้านบาท หรือลดลงมากถึง 53% ภายในปีเดียว

เรามาดูกันว่าเส้นทางของ Garmin เป็นอย่างไร

และบริษัทเผชิญกับความท้าทาย อะไรมาบ้าง ?

ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

เรื่องราวของ Garmin เริ่มต้นจากวิศวกรไฟฟ้าสองคน

ชื่อว่าคุณ Gary Burrell และคุณ Min H. Kao

สองคนนี้ มาร่วมงานกันในปี 1983 ในขณะที่ทำโปรเจกต์เกี่ยวกับเทคโนโลยี GPS (Global Positioning System) ให้กับกระทรวงกลาโหม

ด้วยความที่คุณ Gary Burrell และคุณ Min H. Kao ได้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี GPS มาตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม

พวกเขาก็มองเห็นถึงศักยภาพ ว่าเทคโนโลยี GPS จะสามารถมาเปลี่ยนโลกในอนาคตได้

ในตอนนั้น GPS ยังถือว่าเป็นเทคโนโลยี ที่ค่อนข้างจำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะทางการทหารในสหรัฐอเมริกา

แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯ ก็เริ่มอนุญาตให้คนทั่วไปเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้มากขึ้น

พอเรื่องเป็นแบบนี้ พวกเขาก็เริ่มระดมทุนจากครอบครัวและเพื่อน ๆ แล้วจัดตั้งบริษัทขึ้นในปี 1989 เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ GPS

โดยพวกเขาตั้งชื่อบริษัทอย่างเรียบง่ายว่า “Garmin” ซึ่งที่มาก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

เพราะมาจากชื่อของทั้งสองคน คือ Gary รวมกับ Min เป็น Garmin นั่นเอง

บริษัทเริ่มวางขายผลิตภัณฑ์ตัวแรก

เป็นอุปกรณ์ GPS พกพา สำหรับนำทางเครื่องบินโดยเฉพาะ

ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีลูกค้าคนสำคัญคือ กองทัพสหรัฐฯ

ประกอบกับผลิตภัณฑ์ของ Garmin ก็มีคุณภาพดี จนเกิดการบอกต่อกันในวงการ

ต่อมาเทคโนโลยี GPS ก็ยิ่งพัฒนาขึ้น

ประกอบกับทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็เริ่มเปิดกว้างกว่าเดิม

โดยอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยี GPS ที่มีการระบุตำแหน่งที่มีความแม่นยำมากขึ้น

Garmin จึงได้ขยายตลาดไปทำอุปกรณ์ GPS สำหรับรถยนต์เพิ่มเติมขึ้นมา

ด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ตัวแรก อย่าง GPS สำหรับเครื่องบิน

ก็ทำให้ Garmin สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ของตลาดอุปกรณ์ GPS สำหรับรถยนต์ได้ไม่ยาก

ในเวลาต่อมา ธุรกิจที่กำลังรุ่งเรืองกลับโดนเตะตัดขา

โดยคู่แข่งของ Garmin ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ GPS รถยนต์แบรนด์อื่นแต่อย่างใด

แต่กลับเป็น “ผู้ผลิตสมาร์ตโฟน” ที่พัฒนาสมาร์ตโฟนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จนสามารถนำมาใช้งาน GPS ได้

ทำให้อุปกรณ์ GPS สำหรับรถยนต์มีความสำคัญลดลง

ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Garmin ที่เน้นขาย GPS สำหรับรถยนต์ไปโดยปริยาย

พอเป็นแบบนี้ Garmin จึงพยายามปรับตัวครั้งใหญ่

ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ GPS ที่สามารถสวมใส่ได้

โดยเน้นกลุ่มคนที่ออกกำลังกาย และกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตกลางแจ้ง

ปี 2003 ได้มีการวางขายผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อว่า “Forerunner 201”

ซึ่งเป็นนาฬิกา GPS สำหรับออกกำลังกายรุ่นแรกของโลก

Forerunner 201 เป็นเหมือนตัวจุดประกายให้ Garmin เห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดอุปกรณ์ GPS สำหรับสวมใส่

Garmin จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มฟีเชอร์ใหม่ ๆ เช่น เซนเซอร์วัดชีพจรหัวใจ เทคโนโลยีการชาร์จไฟด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

ปัจจุบัน Garmin เป็นทั้งผู้ออกแบบ ผลิต ทำการตลาด และจัดจำหน่ายอุปกรณ์นำทาง GPS ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการบิน เดินทะเล ยานยนต์ รวมถึงอุปกรณ์สำหรับสายฟิตเนส

แล้วผลประกอบการช่วงที่ผ่านมาของ Garmin เป็นอย่างไร ?

ปี 2019 รายได้ 136,773 ล้านบาท กำไร 34,670 ล้านบาท

ปี 2020 รายได้ 152,391 ล้านบาท กำไร 36,121 ล้านบาท

ปี 2021 รายได้ 181,374 ล้านบาท กำไร 39,392 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา Garmin ยังคงเติบโตได้ดี

โดยสัดส่วนรายได้มาจาก

- กลุ่มฟิตเนส 31%

- กลุ่มกิจกรรมกลางแจ้ง 26%

- กลุ่มการเดินทะเล 17%

- กลุ่มการบิน 14%

- กลุ่มยานยนต์ 12%

หากดูจากการแบ่งรายได้ตามกลุ่ม จะเห็นว่ารายได้จากกลุ่มฟิตเนส มีสัดส่วนที่สูงสุด

ซึ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ก็คือ นาฬิกาสำหรับออกกำลังกาย

ทีนี้ลองมาดู ส่วนแบ่งการตลาด ยอดขายนาฬิกาออกกำลังกาย

อ้างอิงจากเว็บไซต์ Tech Advisor

- Garmin 43%

- Amazfit 18%

- Huawei 13%

- อื่น ๆ 26%

จะเห็นว่านอกจากรายได้และกำไรของ Garmin จะเติบโตตลอดในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

Garmin ก็ยังเป็นผู้นำในตลาดนาฬิกาออกกำลังกายอีกด้วย

แต่ปัจจุบัน Garmin กำลังเจอความท้าทายอีกครั้ง

กับการเข้ามารุกธุรกิจนาฬิกาออกกำลังกายของ Apple

ด้วยโมเดล Apple Watch Ultra ราคาเริ่มต้น 31,900 บาท

แม้ว่าราคาระดับนี้ อาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับนาฬิกาออกกำลังกายระดับพรีเมียมของทาง Garmin ซึ่งไม่ใช่ระดับราคาในกลุ่มตลาดมวลชน หรือ Mass เท่าไร

บวกกับเทคโนโลยีสำหรับนักออกกำลังกายจาก Apple ยังไม่ได้ดีเท่า

จนทาง Garmin ถึงกับออกมาตอบโต้ผ่านทวิตเตอร์ว่า “แบตเตอรี่ของเรานับเป็นเดือน ไม่ได้นับเป็นชั่วโมง” ซึ่งสะท้อนจุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของบริษัท พร้อมกับการเหน็บแนม Apple ไปในตัว