15 ก.ย. 2022 เวลา 16:36 • ความคิดเห็น
ช่วง เรื่องเล่ายาวเฟื้อย *โรคซึมเศร้า*
แม่เล่าให้ฟังว่าวันนี้แม่ไปงานศพ ของน้องที่ตัดสินใจจากไป แม่รู้จักพ่อและแม่ของน้อง แล้วก็บอกว่าแม่ของน้องเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ครอบครัวก็อบอุ่น ไม่มีใครรู้เลย ว่าทำไมน้องถึงตัดสินใจที่จะจากไป แม่ร้องไห้ในงานแล้วเกิดคำถามตลอด ว่าน้องทำลงไปทำไม ทั้งที่ก็ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่ชักนำเลย
เมื่อเกือบ5ปีที่แล้วในช่วงที่คนยังไม่เข้าใจ และไม่เปิดรับคนที่เป็นโรคทางจิตเท่าไหร่นั้น
เราเป็นไบโพล่า คุณหมอเล่าให้ฟังว่าเราคือคนไข้อายุน้อยคนแรกที่เดินเข้ามาหาหมอด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีใครบอก
เราเป็นเคสแรกๆที่หมอสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลาหนึ่งปี แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะได้รับโอกาสนั้น
เราหายเพราะในวันนั้นเรากล้าเดินออกมาจากความกลัวของตัวเอง หลังผ่านการพยายามจากไป1ครั้ง เราบอกตัวเองได้ว่า เราไม่ไหวแล้ว สุขภาพจิต ความคิดของเรา มันไม่เหมือนเดิม เรายังอยากมีชีวิตต่อไป แต่เราก็ไม่ขอให้ทุกคนทำได้ เพราะเราผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจต่อตัวเองที่ต่างกัน
การเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทั้งหน้าตา ครอบครัว ทุกอย่าง ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้ สารเคมีในสมองที่เปลี่ยนไป มันไม่มีใครกำหนดได้ ไม่มีใครรับรู้ได้ และบางคน ไม่ได้ต้องการให้ใครรับรู้หรือเข้าใจทั้งนั้น
การมีทุกอย่าง การมีทุกคนอยู่รอบๆตัว ทั้งเพื่อน ครอบครัว ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะอยู่ในจุดนั้น เรารู้สึกว่าเราไม่ถูกรัก เราไม่มีใครเลย เหมือนยืนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก มันเกิดขึ้นและหายไป วนซ้ำอยู่ตลอดในทุกช่วงเวลาที่เรากำลังตื่นอยู่
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินเข้าไปหาหมอได้ทันเวลาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ได้โปรดอย่าคิดหรือบอก ว่าทำไมพอเริ่มรู้สึกไม่ดีถึงไปหาหมอ “ทุกคน” ไม่ได้เหมือนกัน รวมถึงบางครั้ง การไปหาจิตแพทย์มีค่าใช้จ่ายที่เยอะมาก ค่ายาของเราไม่เคยต่ำกว่า 3พันบาท ทุกครั้ง ไม่รวมที่ต้องคอยปรับยาและเปลี่ยนยาอยู่ตลอด
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่การตั้งคำถามกับคนที่จากไปว่าทำไม เขาตัดสินใจแบบนั้น ทำไมเขาไม่มองคนที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ในห้วงนาทีนั้น บางครั้งมันเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวจริง แต่แค่บางครั้งเท่านั้น บางครั้ง เราคิดมาอย่างดีแล้ว แต่เป้าหมายของทั้ง2แบบก็ยังเหมือนกันอยู่ดี คือเราอยากจบความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เรารู้สึกอยู่ แม้แต่จะเร็วขึ้นเพียงไม่นานก็ตาม
ได้โปรดอย่าหาเหตุผลว่า คนนี้โตมาแบบนี้ คนนั้นมีอย่างนู้นครบแล้ว ดูมีความสุขแล้ว เพราะแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด คนรัก หรือเพื่อนสนิท ก็ไม่มีใครที่สามารถไปอยู่ในสมองหรือหัวจิตหัวใจของใครได้ ทุกคน มีเหตุผลของตัวเอง
ถ้ามีการช่วยเหลือได้ทัน สิ่งสำคัญไม่ใช่การให้กำลังใจขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ไม่ปกติคือสารในสมองและจิตใจ ในบางคนการได้รับกำลังใจ ยิ่งเป็นการบีบให้เจ็บซะยิ่งกว่าไม่ได้รับ ถ้าถามว่าแล้ว ควรเป็นแบบไหน ทำยังไง เราก็ยังคงตอบไม่ได้อยู่ดี เพราะในเวลานั้น ทุกๆคนอยู่ข้างๆเราเหมือนกัน แม่ อา เพื่อน แต่เรารู้สึกว่าเราไม่มีใครเลย
ไม่มีอะไรกำหนดได้
แต่
ถ้ามันไม่ทัน เขาจากไปแล้ว สิ่งที่ควรรับรู้เป็นอย่างแรกเลยคือ นั่นเขาอาจผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดีแล้ว แสดงว่าตอนมีชีวิตเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเขาแล้ว และได้แต่หวัง ให้เขาพบกับความสงบที่แท้จริง ไม่ต้องเจ็บปวดกับชีวิตในโลกใบนี้อีกก็พอ
โฆษณา