17 ก.ย. 2022 เวลา 01:51 • ปรัชญา

บทที่ 11:ดวงอุจจ์และอัฏฐเคราะห์

เป็นอีกบทที่มีขนาดยาวและทำความความเข้าใจยาก​ แต่จะเฉลยเรื่องการใช้พระเคราะพักร์เพื่อพิจารณากรรมปัจจุบัน
นักศึกษาโหราศาสตร์ส่วนมากไม่ได้สนใจที่มา
ว่าแต่ละหลักการมีการสร้างขึ้นมาเพราะเหตุผลใดเลยใช้กันมั่วไม่รู้เรื่อง​ ขอให้ทาย​ถูกเป็นพอ​
โหราศาสตร์แต่แรกเริ่มมีการใช้ดวงเกษตร์​เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งที่มองเห็นได้​ เพราะสามารถประเมินด้วยประสาทสัมผัสทั้ง5ได้ง่ายสุด ต่อมามีการใช้ดวงอุจจ์​สถานะวงจรตรีโกณเวลาให้ฤกษ์ทำการเช่นการออกศึกสงคราม​ สำหรับดวงชะตาหรือดวงฤกษ์ที่มีลักษณะพิเศษ
โหรไทยสมัยรัตนโกสินทร์มาเพิ่ม
ดวงอุจจาวิลาส/อุจจาภิมุข/ราชาโชค/เทวีโชค/มหาจักร/จุลจักร
เพิ่มทำไม ถ้าบอกว่าทำให้ดูแม่นขึ้น​เท่ากับดูถูกโหรทั่วโลกที่เขาใช้เฉพาะดวงเกษตร์/อุจจ์ว่าดูไม่แม่นหรือเปล่า​ แล้วถ้าเขาใช้กันเป็นปกติไม่มีปัญหาอะไรแสดงว่าโหรไทยมีปัญหาดูดวงเกษตร์/อุจจ์ไม่เป็นเลยต้องเพิ่มเกณฑ์อื่นๆขึ้นมา​ อันนี้เลยฝากให้คิด
อ.สุบินมองว่า​ดวงเกษตร์ฝ่ายนาคา​ แผนภูมิฝ่ายเทวาและเจ้าฤกษ์​ ภพเกณฑ์ทั้งสี่และเจ้าเรือนเงา​ สามารถอ่านกรรมเก่าทั้งด้านรูปธรรมนามธรรมได้ครอบคลุมหมดแล้ว​
ดวงอุจจ์ก็เลยเหมือนจะเกินจำเป็น​ แต่ทำไมโหรสมัยกรุงศรีอยุธยามีการพิจารณาพระเคราะห์ในวงจรตรีโกณและดวงฤกษ์เวลาออกศึกสงครามที่มีเกณฑ์มุนีศาสดา-มหัทธกรรมโกลา-บุญยาฤทธิ์สิริเดช-ภัทยาพิเศษ​ สำหรับพระเคราะห์ออกราศีทวารในยุคแรก ก่อนที่มีการเกณฑ์พฤทธิ-จักร-ปรัก-ไทย​ ที่มีการใช้ดวงอุจจ์ในภายหลัง
อ. สุบินพบว่ามีการใช้ดวงมูลตรีโกณออกมาใกล้ๆกัน​ จะซ้ำซ้อนกับดวงเกษตร์หรือเปล่า​ แต่ท่านสังเกตว่าดาวเกษตร์มีสองเรือน​ ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากันทางฝ่ายนาคา​ แต่ดวงมูลตรีโกณมีการใช้ตำแหน่งเรือนเดียว​และ​ ๒​ กลับไปได้ตำแหน่งมูลตรีโกณที่พฤษภไม่ใช่กรกฏ
1
แสดงว่ามูลตรีโกณต้องแสดงกำลังสูงสุดด้านใดด้านหนึ่งของพระเคราะห์​ ถึงมีสองเรือนไม่ได้​ ท่านมาพิจารณาเปรียบเทียบกับดวงวงจรตรีโกณตำแหน่งอุจจ์สมัยกรุงศรี​ ท่านก็พบว่า
ดวงชะตาที่มีกำลังแรง (ทั้งเก่งและเฮง)​ไม่ใช่เป็นเพราะมีดาวเด่นในดวงชะตา​ แต่เป็นเพราะการประกอบกำลังกันเข้าเป็นดวงวงจรตรีโกณ​
ดาวที่จะมีนัยยะต่อความเข้มแข็งของดวงชะตาต้องช่วยเสริมดาวอื่นในวงจรตรีโกณนั้นให้มีกำลัง​ ไม่ใช่การพิจารณาโดดๆแยกจากกัน​ ให้นึกถึงกระถางธูปที่ต้องมีสามขา​
1
เรื่องนี้ยังสอดคล้องกับแนวทางโลกวัฏฏะที่ดาว​ ๒-๓-๕-๗ เป็นตัวส่งผ่านวาระกรรมเก่าเข้าสู่ดวงชะตา​ แต่ไม่ใช่เป็นตัวกรรมเก่าโดยตรง​
ดวงอุจจ์จึงจะใช้ได้ผลเมื่อประกอบวงจรตรีโกณตำแหน่งอุจจ์เท่านั้น​ หากไม่ใช่ก็จะพิจารณาเหมือนพระเคราะห์ธรรมดา
ชื่อดวงมูลตรีโกณก็มีความหมายเป็นนัยว่าใช้พิจารณากรณีดาวนั้นร่วมวงจรตรีโกณ​
ต้นเหตุการใช้ดาวพักร์
ดวงอุจจ์ได้มีการกำหนด​ ๘ ในสถานะอุจจ์​ต่างกับ​ดวงเกษตร์ที่ใช้​ ๘ ในฐานะองมนตรีของ​ ๗ และไม่ได้ตำแหน่งเกษตร์ด้วยตนเอง
1
ในแง่โลกวัฏฏะ​ ๘ เปรียบเสมือนเงาสะท้อนกรรมปัจจุบันเข้าสู่ดวงชะตา​ ในเมื่อ​ ๘ เดินย้อนจักรราศี​ ๓-๕-๗ ก็ควรส่งผ่านกรรมปัจจุบันเมื่ออยู่สถานะเดินถอยหลัง​ย้อนจักราศีเช่นกัน​
1
ทางดาราศาสตร์​ ยังพบว่า​ พระเคราะห์เดินถอยหลังเมื่อโคจรมาใกล้โลก
ตำแหน่งพระเคราะห์ถอยหลังจึงกำหนดสถานะองค์เกณฑ์/อุดมเกณฑ์​ เพื่อใช้ดูวาระกรรมปัจจุบัน​ ที่จะนำไปอธิบายในเรื่องสถานะเจ้าเกณฑ์ในบทถัดไป
โหราทาส
๑๙ กันยายน​ ๒๕๖๕

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา