1 ต.ค. 2022 เวลา 23:00 • ข่าวรอบโลก
คุณยายคหบดีถูกแทงเสียชีวิตในบ้านพัก ใครกันที่ทำร้ายคุณยาย??
สวัสดีค่ะทุกคน I Mean มีเรื่องเล่าวันนี้ จะเล่าให้ฟังถึงคดีที่มีคุณยายคหบดีท่านหนึ่งถูกแทงจนเสียชีวิตคาบ้านพัก ในเมืองที่แทบจะไม่มีคดีอาชญกรรม คนที่ทำร้ายคุณยาย คือ ใครกัน
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2012 ที่เมือง Barbezieux แคว้น Charente ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ไม่ไกลจากเมือง Bordeaux
หลัง 4 ทุ่มเล็กน้อย พนักงานดับเพลิงได้รับแจ้งว่า มีไฟไหม้ที่บ้านหลังใหญ่ของคุณยาย Claude Tavernier คหบดีวัย 82 ปี ที่ทุกคนในเมืองรู้จักดี หลังจากควบคุมเพลิงได้และเข้าไปในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบว่า คุณยายถูกแทงกว่า 40 แผล เสียชีวิตอยู่ในบ้านพัก ที่เธออาศัยอยู่เพียงลำพัง เพราะลูกๆ หลานๆ ต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่อื่นและมีครอบครัวของตัวเอง จะกลับมารวมญาติกันหรือมาเยี่ยมคุณยายเฉพาะในช่วงวันหยุด
จากการหาหลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุพบว่า ของมีค่าบางอย่าง เช่น บัตรเครดิต นาฬิกาโบราณ และรถของคุณยายหายไป ตำรวจสันนิษฐานว่า คดีนี้คงจะเป็นการลักขโมยที่คุณยายมาพบเข้าพอดี คนร้ายจึงได้ทำร้ายคุณยายจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ยังพบ DNA ของคนร้ายติดอยู่ที่มือและเล็บของคุณยายด้วยนะคะ คาดว่าเธอคงจะต่อสู้กับคนร้ายอยู่พอสมควรก่อนที่จะถูกแทงจนเสียชีวิต
ตำรวจพบรถของคุณยายถูกเผาทิ้งในย่านที่จอดรถบ้านที่มักมีคนพเนจรไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งไปพัก และเมื่อไปตรวจสอบก็พบว่า มีชายคนหนึ่งที่เคยมีประวัติอาชญกรรมยาวเยียดทั้งติดเหล้า เล่นยา ใช้ความรุนแรง และลักทรัพย์อาศัยอยู่ที่นั่น
แถมตอนสอบปากคำ เขายังให้การว่า ช่วงนี้เขาจำอะไรไม่ค่อยได้และทำอะไรไปโดยไม่ได้คิดหลายอย่าง ถ้าใครมากวนใจ เขาก็อาจจะของขึ้นได้ ตำรวจจึงคิดว่า เขาต้องเป็นคนร้ายแน่ๆ
แม้เขาจะให้การเช่นนั้น แต่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายคุณยาย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเขามีหลักฐานที่อยู่ในขณะที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ เมื่อนำ DNA ของเขาไปตรวจสอบ ก็พบว่า ไม่ตรงกับที่พบในเล็บของคุณยาย
การสืบสวนไม่ค่อยจะคืบหน้าเท่าไหร่ แต่เมื่อ 3 สัปดาห์ผ่านไป ก็มีคนมาให้ข้อมูลใหม่กับเจ้าหน้าที่ คุณคนนี้เป็นตำรวจค่ะ
เขาแจ้งว่า ในวันเกิดเหตุ เขาจะไปเข้าเวรรอบดึก เมื่อไปถึงสถานีตำรวจพบว่า ลืมกุญแจ จึงต้องกลับไปเอากุญแจที่บ้าน ซึ่งเส้นทางกลับบ้านต้องผ่านบ้านของคุณยาย
ขณะที่ขับผ่านบ้านคุณยายตอน 19.57 น. เขาเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน สูงประมาณ 175 เซ็นติเมตร อายุประมาณ 25-30 ปี ผมสั้น สีน้ำตาลเข้ม และชายคนนั้นแต่งเครื่องแบบตำรวจ !!!
ตำรวจไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนร้ายจะเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเขา พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้รู้ว่าคนร้ายคือใคร โดยรวบรวมรายชื่อตำรวจทั้งที่ยังทำงานอยู่และที่หมดสัญญาจ้างไปแล้วในเมืองที่เกิดเหตุและเมืองใกล้เคียง ซึ่งมีมากกว่า 3,000 พันชื่อ
จากนั้นก็ค่อยๆ มาไล่ตัดคนที่ไม่ตรงกับ Profile หรือตรงกับ Profile แต่มีหลักฐานที่อยู่ออกไปทีละคน จน 2 เดือนผ่านไป จาก 3,000 รายชื่อ ก็เหลือเพียงชื่อเดียว คือ Mathieu Buelens
Mathieu Buelens เขาเป็นอดีตตำรวจอาสาที่เพิ่งจะหมดสัญญาไปประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่คุณยายจะเสียชีวิต พ่อของเขาเองก็เป็นตำรวจ ที่สำคัญเขาเคยเจอกับคุณยายมาก่อนในปี 2008 เพราะตอนนั้น มีขโมยขึ้นบ้านคุณยาย และเขาเป็นหนึ่งในตำรวจที่ไปในที่เกิดเหตุและได้พบกับคุณยาย
ตำรวจจึงคิดว่า เขาคือคนร้ายแน่ๆ แต่เมื่อไปสอบถามอดีตเพื่อนร่วมงาน ทุกคนให้การว่า เขาทำงานดี ไม่เคยมีปัญหาใดๆ และไม่ใช่คนที่มีอารมณ์รุนแรง ไม่เคยเห็นเขาโกรธใครเลย ไม่มีอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่า เขาคือคนที่ทำร้ายคุณยายอย่างป่าเถื่อน
ตำรวจจึงเรียกเขามาให้ปากคำ ในระหว่างการสอบสวน Mathieu ไม่มีอาการตื่นตระหนก และดูเหมือนว่า เขาจะมีคำตอบให้กับทุกคำถาม
เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำร้ายคุณยาย พอตำรวจบอกไปว่า มีคนเห็นเขาเดินออกมาจากบ้านคุณยาย เขาก็บอกว่า เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายคุณยายได้ เพราะคุณยาย คือ เพื่อนของเขา เนื่องจากในคืนที่มีการลักทรัพย์ในปี 2008 คุณยายกล่าวกับเขาและเพื่อนว่า หลังจากนี้ถ้ามีอะไรก็แวะมาหา มาดื่มกาแฟได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้น เขาได้กลับไปหาคุณยาย เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับการเสียชีวิตของแม่ที่จากไปด้วยโรคมะเร็ง คุณยายก็สงสารและเห็นใจเขา จน กลายมาเป็นเพื่อนสนิทต่างวัย สนิทถึงขั้นที่คุณยายใช้สรรพนาม “Tu” กับเขา
ซึ่งในภาษาฝรั่งเศส สรรพนามที่เราใช้เรียกคนที่เราคุยด้วยจะมี Tu กับ Vous โดย Tu จะใช้กับคนที่เราสนิท เพื่อน คนในครอบครัว ส่วน Vous ก็จะใช้กับคนที่ไม่สนิท หรือคนที่อายุห่างกันค่อนข้างเยอะ หรือคนที่สถานะทางสังคมต่างกัน
พอ Mathieu อ้างว่าสนิทกับคุณยายมาก ตำรวจจึงไปสอบถามคนในครอบครัวคุณยาย แต่คนในครอบครัวและแม่บ้านของคุณยายกลับบอกว่า คุณยายไม่เคยพูดถึงหรือเล่าอะไรเกี่ยวกับเขาให้ฟังเลย ที่สำคัญคุณยายเป็นคนที่ไม่ใช้สรรพนาม Tu กับใครเลย แม้กระทั้งลูก หลาน หรือเหลนของเธอเอง
ยิ่งไปกว่านั้น พอไปถามเพื่อนๆ ตำรวจที่ไปที่บ้านคุณยายเมื่อปี 2008 พวกเขาบอกว่า คุณยายไม่เคยชวนให้พวกเขากลับไปหาหรือไปดื่มกาแฟอย่างที่ Mathieu บอก เพราะคนที่ได้พูดคุยกับคุณยายในคืนนั้นมีเพียงหัวหน้าของพวกเขาเพียงคนเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ถูกควบคุมตัว จากที่ไม่มีอาการตื่นตระหนก ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเครียดและกดดัน จนในที่สุดเขาก็สารภาพว่า เขาเป็นคนทำร้ายคุณยาย
แต่จำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ค่อยได้ จำได้แต่เพียงว่า มันเกิดขึ้นในห้องนอน คุณยายมองหน้าเขาแล้วก็ร้องตะโกน เขาจึงเอาเทปกาวไปปิดปาก ก่อนที่จะใช้มีดแทงไปที่คอ แต่หลังจากนั้น เขาก็จำอะไรไม่ได้เลย
คุณหมอนิติเวชบอกว่า คุณยายถูกแทงกว่า 40 แผล ต่อมาไม่นานผล DNA ก็ออกมายืนยันว่า เขา คือคนร้ายจริงๆ
พอตำรวจถามว่า เขาทำไปทำไม เขาก็บอกว่า เขาก็จำไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องทำร้ายคุณยาย เขาพยายามนึกมาตลอด แต่ก็นึกไม่ออก
ตำรวจคิดว่า เขาตั้งใจที่จะทำร้ายคุณยายโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า
โดยช่วงเย็นวันที่ 26 มิถุนายน เขาขับรถออกจากบ้าน มาจอดไว้ไม่ไกลจากบ้านคุณยายนัก แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านคุณยายในชุดเครื่องแบบเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แอบดูผ่านหน้าต่างจนแน่ใจว่าคุณยายอยู่คนเดียว
บ้านของคุณยาย
จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถ ขับรถไปไว้ด้านหลังบ้านคุณยาย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปกติ หยิบมีดและเทปกาวก่อนจะเข้าไปในบ้านคุณยายอีกครั้ง ปีนเข้าตัวบ้านทางหน้าต่าง พอคุณยายเห็นคนร้ายก็ต่อสู้และวิ่งหนีไปที่ห้องนอนพร้อมร้องขอความช่วยเหลือ เขาจึงได้ใช้เทปกาวปิดปากและแทงเธอ ก่อนที่จะขนโทรทัศน์ นาฬิกาโบราณ บัตรเครดิตไปใส่รถของคุณยาย จัดฉากให้เหมือนเป็นการโจรกรรม
ในระหว่างนั้น คุณยายยังไม่เสียชีวิต ได้คลานออกมาจากห้องนอน เพื่อหาทางหนี แต่ Mathieu กลับไปพบเข้าเสียก่อน เขาจึงแทงเธออีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าคุณยายเสียชีวิต แล้วจุดไฟเผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐานต่างๆ ก่อนจะขับรถของคุณยายหนีไป
เขาโยนทีวีทิ้งไว้ข้างทาง ส่วนบัตรเครดิตก็ไปโยนทิ้งไว้แถวๆ ที่จอดรถบ้านที่มักมีคนนอกกฎหมายไปอยู่ที่นั่น จากนั้นก็ไปจอดรถของคุณยายไว้ไม่ไกลกันและจุดไฟเผา ก่อนจะเดินกลับไปเอารถของตัวเองที่จอดทิ้งไว้ด้านหลังบ้านคุณยายซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 4 กิโลเมตร ขับกลับบ้านที่อยู่ห่างไป 35 กิโลเมตร ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันที่ 26 สิงหาคม 2 เดือนหลังเกิดเหตุ เขาก็ถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมและถูกฝากขัง
ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก Mathieu Buelens เป็นเวลา 30 ปี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เขายอมรับว่า เขาได้ทำในสิ่งที่แย่มากๆ แต่เขาไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เขาไม่ได้ต้องการทำร้ายคุณยาย
เขาจึงได้ยื่นอุทธรณ์
ในระหว่างการพิจารณาคดี มีหลายๆ เหตุการณ์ที่แสดงให้ศาลเห็นว่า เขาน่าเตรียมการไว้ล่วงหน้า เช่น
เขาปิดมือถือของตัวเองตั้งแต่เช้าของวันที่ 26 มิถุนายน และไปเปิดอีกทีในวันรุ่งขึ้น เขาอ้างว่า เขาไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากให้ใครโทรไปรบกวน แต่ตำรวจคิดว่า เขาเป็นตำรวจ ย่อมรู้ว่า ตำรวจมักใช้สัญญาณมือถือในการตรวจสอบว่าผู้ต้องสงสัยอยู่ที่ไหนในขณะที่เกิดเหตุ เหมือนหลายๆ คดีที่เคยเล่าไปแล้ว เขาจึงปิดมือถือเพื่อไม่ให้ตรวจสอบได้ว่าเขาไปไหนและอยู่ที่ไหนในขณะเกิดเหตุมากกว่า
เรื่องที่ 2 ตำรวจถามเขาว่า ทำไมเขาถึงใส่เครื่องแบบไปหาคุณยาย ทั้งๆ ที่ในวันนั้นเขาไม่ได้เป็นตำรวจอีกแล้ว เขาก็บอกว่า เพราะคุณยายอายุเยอะแล้ว ถ้าเขาไม่ใส่เครื่องแบบไป กลัวว่าคุณยายจะจำไม่ได้ แต่เหตุผลจริงๆ น่าจะเป็นเพราะเขาไม่อยากให้เป็นที่สังเกตของคนทั่วไป เพราะใครจะไปสงสัยตำรวจที่เดินตรวจตราตามถนนหนทางและบ้านเรือนผู้คน
เรื่องที่ 3 ถ้าไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน ทำไมเขาถึงมีเทปกาวอยู่กับตัว เขาก็บอกว่า มันเป็นเทปกาวที่เหลือจากการย้ายบ้านที่ผ่านมาไม่นานนี้
เรื่องที่ 4 อัยการถามว่า ทำไมจึงมีการกดรหัสสัญญาณกันขโมยที่บ้านคุณยายผิดหลายครั้งในช่วง 21.11-21.13 น. โดยที่ไม่มีคราบเลือดเปื้อนบริเวณนั้น เขาก็บอกว่า เขาจำไม่ได้ พออัยการซักเพิ่มว่า แล้วใครจะได้ประโยชน์จากการทำให้สัญญาณกันขโมยหยุดทำงาน เขาก็ตอบเองว่า “คนร้าย”
เขาบอกว่า เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันร้ายแรงมาก เขาละอายมากจนไม่กล้าที่จะเข้ามอบตัว ได้แต่รอให้ตำรวจมาจับกุมเขา แต่เขากลับไปสอบเพื่อเป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ออกไปดื่มเบียร์ พูดจาหยอกล้อกับเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาทำให้ผู้พิพากษาไม่เชื่อว่า เขาไม่ได้เตรียมการไว้ก่อนและรู้สึกสำนึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจริงๆ ศาลอุทธรณ์จึงได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ คงโทษไว้ที่ 30 ปี แต่เพิ่มเงื่อนไขว่าเขาจะไม่สามารถได้รับการพักโทษก่อน 20 ปี
จนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้ว่า เขาทำไปเพราะอะไร เพราะเขาบอกเพียงว่า เขาจำเหตุการณ์วันเกิดเหตุได้แค่บางส่วน
มีการสันนิษฐานกันไปหลายทางบ้างก็บอกว่า เขาได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างมากจากการที่แม่มาป่วยและจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเวลาเตรียมใจสำหรับการจากลา และก่อนที่แม่ของเขาจะจากไป ได้ขอให้เขาเป็นตำรวจตามรอยพ่อของเขา เขาก็เลยอยากทำให้ได้อย่างที่แม่ขอ แต่ก็เป็นได้เพียงตำรวจอาสาที่มีสัญญาจ้างแค่ 5 ปี พอสัญญาสิ้นสุดลง คงจะเกิดความเครียดที่ทำไม่ได้อย่างที่รับปากไว้กับแม่ ก็เลยไปลงที่คุณยายที่ลูกชายทุกคนเป็นทหาร ส่วนลูกสาวก็ได้แต่งงานกับคนในเครื่องแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเป็นแต่เป็นไม่ได้
แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวดูจะเป็นไปไม่ค่อยได้นะคะ เพราะขณะที่ถูกจำกุม เขาเพิ่งจะสอบผ่านและกำลังจะได้ไปเริ่มงานในส่วนของตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
บางคนก็เลยคิดว่า วันที่เขาไปบ้านคุณยายเมื่อปี 2008 คุณยายอาจจะคุยแต่กับหัวหน้าของเขา จนเขารู้สึกไร้ความสำคัญ และกลายมาเป็นบาดแผลลึกๆ ในใจที่ถูกมองข้าม
บางคนก็คิดว่า เขาคงหลงใหลในเรื่องการฆาตกรรมและหนังสยองขวัญ จนอยากจะรู้ว่า เมื่อลงมือทำจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร และอาจจะอยากสร้างการฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบ เพราะถ้าเพื่อนร่วมงานของเขาไม่ผ่านไปเจอว่า มีคนใส่ชุดตำรวจเดินออกมาจากบ้านคุณยาย ก่อนที่จะมีคนไปพบว่าคุณยายเสียชีวิต คดีนี้ก็อาจจะหาคนผิดมาลงโทษไม่ได้
ใครที่อยากรับชมแบบเป็นคลิป สามารถตามไปที่ Link ด้านล่างนะคะ
สำหรับวันนี้ ขอลาไปด้วยคำกล่าวของ Inspector Lunge จาก Manga เรื่อง Monster ที่ชี้ให้เห็นว่าการฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบนั่นทำได้ยาก เพราะ
ไม่มีใครในโลกที่จะอยู่ที่ไหนสักแห่งและจากไปอย่างไร้ร่องรอย ใครที่ทำได้ เขาคนนั้นไม่ใช่คน
โฆษณา