20 ก.ย. 2022 เวลา 14:15 • ไลฟ์สไตล์
พระผู้ปฏิเสธการรับมรดก 2.8 แสนล้านบาท เพื่อเลือกเดินในสายทางแห่งธรรม
พระอาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanno) ชื่อเดิม คือ เว็น สิริปัญโญ (Ven Siripanyo) ลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐี ที. อนันดา กริชนัน (Tan Sri Ananda Krishnan) ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีชาวศรีลังกาเชื้อสายทมิฬ ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Forbes ว่ารวยเป็นอันดับ 2 ของมาเลเซียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีทรัพย์สมบัติ ประมาณ 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 285,000 ล้านบาท (โยมพ่อท่านคือ เจ้าของตึกแฝด ในมาเลเซีย โยมแม่ คือ หม่อมราชวงศ์ สุพินดา จักรพันธ์ ธิดาคนโตของพระองค์เจ้าจักรพันธ์ุ​เพ็ญศิริฯ)
ครอบครัวนี้มีลูกสาว 2 คน และมีลูกชายเพียง 1 คน ท่าน คือ อาจารย์สิริปันโน จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษและสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา โดยเมื่ออายุ 18 ปี ท่านได้เลือกที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางกลับมาเยี่ยมมารดาที่ประเทศไทย ในปี พศ.2532 จากความตั้งใจเดิมที่จะลองบวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเป็นลูกศิษย์สายพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานาน
แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่ หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี
ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต ! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่ พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆ ครั้ง จะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆ ไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัด ที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งเสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์ กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรด้วยตนเอง เป็นต้น ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลังจากทำวัตรเย็นที่โบสถ์เสร็จ หลวงพ่อชาท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย ทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ แล้วกล่าวว่า....
“เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี
คิดอย่างนี้แล้ว มันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม ? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น
ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน”
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุก ๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย
นี่ก็คือ ความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง ความเห็นผิด ที่ไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น เหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบาย อย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก” หลังจากนั้นหลวงพ่อชาก็นำนั่งสมาธิ ถือเนสัชชิกตลอดทั้งคืน
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขา เพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก
"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษากับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา จนกว่าจะหายคัน" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการ กราบลาพระลูกชายแล้ว ก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 32 พรรษา จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านไม่เคยมองย้อนกลับไป อยากใช้ชีวิตฆราวาสอีก ท่านปฏิเสธโอกาสที่จะทำงานเพื่อเข้ามาดูแลและขยายอาณาจักรทางธุรกิจของบิดา รวมถึงมรดกซึ่งมูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเลือกเดินบนเส้นทางของการเจริญสมาธิภาวนา ตามแนวปฏิบัติสายพระป่าของไทย ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กนาม “สาขาวัดหนองป่าพง” ได้เผยแพร่ข้อมูลของพระอาจารย์สิริปันโน พร้อมรูปถ่ายยืนยัน และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ปัจจุบันท่านจำพรรษาอยู่ที่ สำนักสงฆ์เต่าดำ จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นสาขาของวัดป่านานาชาติ อย่างมีความสุขในธรรม สงบเย็น และสามารถแสดงธรรมได้เป็นอย่างดี โดยเป็นลูกศิษย์สายพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
โฆษณา