24 ก.ย. 2022 เวลา 11:00 • ไลฟ์สไตล์
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุกวงการ โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จนกลายเป็นผลสืบเนื่องต่อมาเป็นปรากฏการณ์ของคนทำงานที่ส่งผลไปทั้งโลก ตั้งแต่การลาออกครั้งใหญ่ของลูกจ้าง ไปจนถึงการถูกนายจ้างบีบให้ลาออกเพื่อลดต้นทุน
1
การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปลี่ยนรูปแบบการทำงานของคนทั้งโลกไปอย่างสิ้นเชิง บริษัทและพนักงานต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขนานใหญ่ เพื่อให้สอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนึ่งในนั้นคือ “การทำงานระยะไกล” (Remote Working) และ “การทำงานจากที่บ้าน” (Work from Home) ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่จนกลายเป็น 5 ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลง “ตลาดงาน” ในยุคปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง
💼การลาออกครั้งใหญ่ (The Great Resignation)
เดือน เม.ย. 2564 มีพนักงานในสหรัฐลาออกมากถึง 4 ล้านคน ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เดือน มิ.ย. 2564 มีคนลาออกราว 3.9 ล้านคน เนื่องจากพนักงานบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำงานรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนปัญหาด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะหมดไฟในการทำงาน ไม่สามารถหาสมดุลระหว่างการทำงานและการดำรงชีวิตได้ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความเป็นกังวลในการแพร่ระบาดโควิด-19 บริษัทจ่ายค่าตอบแทน สวัสดิการที่ไม่สมเหตุสมผล และไม่มีนโยบายช่วยเหลือการทำงานระยะไกล รวมไปถึงการรับรู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเอง จากช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตนเอง
ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ ระบุว่า งานบริการด้านอาหาร เป็นอุตสาหกรรมที่มีแรงงานลาออกมากที่สุดถึง 6.8% สูงที่สุดตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา ตามมาด้วยอุตสาหกรรมค้าปลีกมีอัตราการเลิกจ้างสูงสุดเป็นอันดับสองที่ 4.7% ขณะที่ 1 ใน 5 ของบุคลากรทางการแพทย์ได้ลาออกจากงานนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ถูกเรียกว่า “การลาออกครั้งใหญ่” (The Great Resignation) และได้ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก
🪃Boomerang Employees
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่คนส่วนใหญ่ทำงานจากบ้าน ซึ่งมีเวลาได้อยู่กับตนเองและอยากทดลองทำในสิ่งที่ตนเองต้องการซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดการลาออกครั้งใหญ่ จึงเลือกลาออกจากงานประจำเพื่อลองทำตามความฝันสักตั้ง แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จจึงหันกลับมาทำงานประจำ หรืออีกกลุ่มหนึ่งที่ลาออกเพราะปัญหาหมดไฟ หรือ ต้องจัดการปัญหาในชีวิต เมื่อปัญหาเหล่านั้นก็พร้อมกลับมาทำงาน โดยพวกเขาอาจจะเริ่มจากสิ่งที่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง ก็คือบริษัทเก่าที่เคยทำงานด้วยนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจต่าง ๆ กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งปัญหาการลาออกครั้งใหญ่ยังส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ทำงานไม่ต่อเนื่องและสูญเสียทรัพยากรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องการแรงงานฝีมือดี และต้องช่วยลดต้นทุนของบริษัทได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินหรือการฝึกฝนพนักงาน ซึ่งตัวเลือกที่ดีของบริษัทเหล่านี้คือ พนักงานเก่าที่ลาออกไปแล้วกลับมาทำงานที่เดิม หรือ Boomerang Employees
1
📈Job Hopper
“Job Hopper” หมายถึงกลุ่มคนทำงานที่มักจะเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ทำงานแต่ละที่ได้ไม่เกิน 2 ปี ก็พร้อมโบยบินไปที่ใหม่แล้ว ส่วนหนึ่งเพื่อหวัง “ปรับเงินเดือนให้สูงขึ้น” หรือไม่ก็อาจจะเป็นแรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้าน เป็นคนเก่งที่มีแต่คนต้องการตัว เมื่อมีข้อเสนอที่ดีกว่า จึงเลือกไปที่ใหม่แบบไม่ลังเล
ขณะเดียวกัน Job Hopper อีกกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความสุขและสมดุลในการทำงานมากกว่าการทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาพักเพื่อให้ได้งาน ซึ่งพบมากในกลุ่มคนเจน MZ (มิลเลนเนียลและเจน Z) หากประเมินแล้วว่าไม่มีความสุขในการทำงาน หรือถ้าประเมินแล้วมองไม่เห็นอนาคต “อยู่ไปก็ไม่โต” หรือถ้าทำงานไปแล้วรู้สึกว่า “ไม่ใช่” ก็มักจะลาออก ไปหาอะไรที่ท้าทาย มีความสุข และมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าแทน
นอกจากนี้ การได้เงินเดือนที่สูงขึ้น ย่อมมาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงขึ้นของนายจ้าง ถ้าหากไม่หมั่นเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะที่ต้องใช้ในการทำงานอยู่ตลอด เพราะสุดท้ายแล้วอาจจะตายน้ำตื้นเสียเองก็เป็นได้
✌🏽Quiet Quitting
อีกหนึ่งเทรนด์การทำงานที่ถูกพูดถึงอย่างมากในปีนี้ โดยเฉพาะใน TikTok นั่นก็คือ “Quiet Quitting” หรือ QQ ซึ่งหากแปลตรงตัวแล้วจะได้ความหมายว่า “ลาออกไปอย่างเงียบ ๆ” ที่จริงแล้ว ความหมายของคำนี้ไม่ได้หมายถึงการลาออกจริง ๆ แต่เป็นการทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ได้ทุ่มเททำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การทำงานให้ตามค่าจ้าง ซึ่งจุดประสงค์หลักของ QQ คือ การเยียวยาตนเองไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะหมดไฟในการทำงาน
1
การแพร่ระบาดระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทต้องปลดพนักงานบางส่วน ขณะเดียวกันก็เกิดการลาออกครั้งใหญ่ แน่นอนว่าจำนวนคนทำงานลดลง แต่งานไม่ได้ลดลงตามไปด้วย คนที่เหลืออยู่จึงต้องทำงานเพิ่มขึ้น ทำให้พนักงานเกิดภาวะเบื่อหน่ายและหมดไฟได้ง่ายขึ้น จึงต้องกำหนดขอบเขตให้กับการทำงานอย่างเหมาะสม รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน มีเวลาปล่อยให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง เพื่อไม่ก้าวไปสู่จุดที่อยากลาออกจริง ๆ
🔥Quiet Firing
สืบเนื่องจาก Quiet Quitting กลายเป็นเทรนด์ที่ฝ่ายคนทำงานไม่ต้องการทำงานหนักจนเกินไป ก็มีอีกเทรนด์หนึ่งที่เริ่มเกิดขึ้นจากฝ่ายนายจ้างบ้าง นั่นคือ “Quiet Firing” หรือ การบีบให้ออกจากที่ทำงานไปอย่างเงียบ ๆ
บริษัทหลายแห่งจำเป็นต้องปลดพนักงานเพราะภาวะทางเศรษฐกิจ แต่หากประกาศเลิกจ้าง จะต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง ทำให้บางบริษัทเลือกที่อดทนรอเวลาให้คนทำงานลาออกไปเองเพื่อให้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ด้วยการมองข้ามคุณค่าในงานที่ลูกจ้างทำ ไม่เปิดโอกาสให้ลูกจ้างแสดงความสามารถ ไม่เพิ่มเงินเดือนให้แม้จะมีผลงานที่ดีหรือทำงานมานานแล้วก็ตาม
รวมไปถึงการมอบหมายงานให้ทำมากเกินไป เมื่อคนทำงานเริ่มทำงานไม่ไหว จะเข้าสู่ภาวะหมดไฟ สุขภาพจิตเริ่มเสีย ท้ายที่สุด เมื่อคนทำงานรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า หรือ อยู่ไปก็ไม่โต ก็จะตัดสินใจลาออกไปเอง
จะเห็นได้ว่า นี่เป็นวิธีการลดจำนวนพนักงานทางอ้อมที่เลือดเย็นอย่างมาก นอกจากเอาเปรียบคนทำงานอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังทำให้คนทำงานหมดกำลังใจ สุขภาพร่างกายทรุดโทรมจากการทำงานหนัก ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอีกด้วย
นับจากนี้ไม่มีใครรู้ว่า รูปแบบความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในโลกหลังยุคโควิด-19 จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ยังคงต้องมีจากทั้งสองฝ่ายคือ ความเห็นอกเห็นใจกัน และการสื่อสารระหว่างนายจ้างและลูกจ้างยังคงเป็นเรื่องสำคัญ มีปัญหาอะไรควรต้องบอกกันตรง ๆ เพื่อให้งานดำเนินไปด้วยดี และยังสามารถรักษาคนทำงานไว้ได้
โฆษณา