24 ก.ย. 2022 เวลา 00:52 • ปรัชญา
ตั้งแต่โลกและจักรวาลถือกำเนิดขึ้นมา สังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนกําเนิดขึ้นมาจากอวิชชา มีทั้งที่มีใจครอง(มีจิตคือสัตว์ที่ดํารงค์ขันธ์) และไม่มีใจครอง (ไม่มีจิต เช่นก้อนหิน ดินทราย พืช สัตว์เซลเดียว ไวรัส ) ตัวตนจึงเกิดขึ้นเสมอตั้งแต่แรก ทั้งนี้เป็นไปตามกฏปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า อวิชาทําให้เกิดสังขาร สังขาร ทําให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทําให้เกิดนามรูป นามรูป ทําให้เกิด ภพชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ และก็วนกลับไปมา ตัวตนในช่วงแรกที่ยังไม่ครอบครองขันธ์เป็นตัวตนโดยละเอียด ที่เรียกว่าวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท
เป็นตัวตนที่เกิดมาเพื่อรับรู้แค่นั้น ยังไม่เกิดความรู้สึก ยังไม่สามารถจําได้หมายมั่น ยังไม่มีความคิด เป็นเสมือนคลื่นพลังงานในจักรวาล เคลื่อนไหวไปมา ต่อมาตัวตนหรือวิญญาณ เมื่อมาสัมผัสกับมิติในจักรวาลของเรา จึงเกิดความอยากที่จะมีตัวตนที่เด่นชัดขึ้น วิญญาณจึงได้สร้างนามและรูป ที่มีร่างกายและจิตใจ เกิดเป็นขันธ์ที่เราเรียกว่าขันธ์5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบองค์แห่งขันธ์ ตัวตนตอนนี้สมบูรณ์แล้ว เมื่อจิตครอบครองขันธ์ กลายเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก มีความทรงจํา มีความรัก มีสุข มีทุกข์
ตัวตนผสานเป็นหนึ่งเดียวทั้งร่างกายและจิตใจ ปฏิจจสมุปบาท ยังทำงานวนเป็นวงกลมต่อไป แต่เป็นปฏิจจสมุปบาทภายในตัวตนของเราแบบไม่ข้ามภพ อวิชชาก็ได้สร้างภพภายใต้ความคิดของเรา ยึดมั่นในภพ สร้างตัวตนหรืออัตตาที่เที่ยงแท้ถาวรและจิตก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่น กล่าวคือเรายึดเอาทั้งร่างกายและความคิดของเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
สังสารวัฏจึงถือกำเนิด เมื่อเราตายไป ตัวตนก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพก็ยังทำงานอยู่ โดยตอนเราตาย ร่างกายสูญสลายไป แต่จิตดวงสุดท้ายดับไปในภพเดิมและถือกําเนิดในภพใหม่ในรูปแบบพลังงานที่ไม่มีวันสูญหาย สร้างตัวตนในรูปแบบใหม่ ในภพที่เหมาะสมกับสภาพจิตของตัวเอง เป็นคน เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเทวดา เป็นเปรต อสูรกาย เป็นพรหม เป็นมนุษย์ต่างดาวในจักรวาลอื่น
จิตที่ครอบครองขันธ์ ละตัวตนออกไปไม่ได้ เนื่องจากมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนด้วยความเข้าใจผิด ด้วยอวิชชา กิเลส ตัณหา แม้แต่ในภพภูมิที่ไม่มีตัวตนเป็นรูปหรือมีร่างกาย มีแต่จิตเพียงอย่างเดียว เช่นในภพของพรหมโลก เทวดา ตัวตนก็ยังปรากฏอยู่แต่เป็นตัวตนที่ละเอียด แม้กระทั่งรูปหรือนามก็ไม่ปรากฏ ก็ยังมีความยึดมั่นถือมั่น มีภพปรากฏให้ยึดอยู่ดี จึงไม่ได้หลุดพ้นไปจากวัฏสงสารแต่อย่างใด การที่จิตจะพ้นไปจากวัฏสงสารได้ จิตต้องไม่ยึดครองตัวตนในทุกรูปแบบ
เราจะเห็นว่าในบางครั้งที่จิตมีสภาพพ้นไปจากตัวกูของกู เป็นจิตว่างเพียงชั่วขณะ ตัวตนไม่ปรากฏ เป็นนิพพานชั่วคราว เราก็ยังสามารถเข้าถึงได้ เราสามารถเข้าถึงสภาวะไร้ซึ่งตัวตนอย่างแท้จริง เมื่อจิตมีอิสระภาพ นั่นคือไม่มีจิตผู้รู้ ไม่มีใครรู้ มีแต่สภาวะที่รู้ แต่จะทำได้อย่างไรนั้น ก็ต้องหมั่นศึกษาและปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆจะค้นพบคงามหมายที่ว่านั้นเอง
โฆษณา