24 ก.ย. 2022 เวลา 06:45 • ประวัติศาสตร์
เรื่องควายๆ
ผมเห็นเพื่อนในเฟส ที่เลี้ยงควาย
เอามาโพสต์ ทุกครั้งที่ผมเห็นเขาควาย
แต่ละแบบ ผมจะน้ำตาซึม คิดถึงควายที่ผมเคยเลี้ยง
ตอนเด็กๆ ควายสามตัวที่อยู่ในความทรงจำของผม
ตลอดมา
ราว6-9 ขวบผมถูกส่งจากนครศรีฯ ให้มาอยู่กับปู่ที่นนทบุรี
มันทำให้ผมได้สนิดกับญาติพี่น้องฝ่ายป๋าผม
ที่ผมไม่คุ้นเคย เพราะอยู่แต่กับพี่น้องฝ่ายแม่ที่นครฯมาตลอด
เย็นๆผมก็ออกไปเลี้ยงควายกับรุ่นพี่ สนุกสนานกลางทุ่งนา
เมื่อควายได้เจอที่ปักหลักตีแปลงได้จมปลัก
กับควายคนอื่นๆในแถบนั้น
ควายตัวแรกที่ผมจำชื่อได้ คือ อีโขง มันจะมีเขาแบบ
ภาพที่1 ที่เล็กและโค้งเข้าหากัน ดูไม่สง่างามนัก
ธรรมดาๆผมเลี้ยงมันได้ระยะหนึ่ง ไม่กี่เดือนนะ
ทางบ้านก็จัดทำบุญอะไรซักอย่าง
ผมจำอะไรไม่ได้มากนัก
แต่จำภาพที่เขาจูง
อีโขง ไปเชือด มีผ้าห่มที่หลังมัน ปะแป้งให้ ผมไม่กล้าไปดู
จำได้แค่เห็นหัวมันตั้งอยู่หลังชำแหละและช่างแกงก็เอาเนื้อ
มันไปทำอาหารในวันนั้น เป็นความเศร้าที่ผมไม่รู้ความหมาย
ทำได้แค่ยอมรับมัน เห็นผู้ใหญ่และคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร
และอาจไม่เข้าใจ สิ่งที่อยู่ในใจผม เพราะเขาอาจผ่าน
เรื่องแบบนี้มาหลายรุ่นกันแล้วก่อนผมเกิด
อีโขงทิ้งลูกในวัย 3-4 ปีเอาไว้ กำลังเป็นวัยรุ่นสาวในฝูง
เขามันไม่ยาวโค้งกลมแบบ อีโขงแม่ของมัน
แต่เป็นแบบสั้นๆ เล็กๆ ดูแข็งแรง มันมีชื่อว่า อีนวล
คงได้มาจาก ความสวยของผิวหนัง ขนและบุคลิกที่
ไม่ดื้อ เชื่องไม่หือไม่หาหรือแว้งเขาใส่ใคร
มันเป็นควายที่ผมได้ขี่ประจำทุกครั้งที่ผมออกไปสู่ทุ่งกว้าง
ที่รุ่นพี่ๆแถวบ้านอุ้มผมขึ้นไป แล้วให้มันเดินตามฝูง
ที่บ้านปู่มีแต่ป้าและน้าที่เป็นผู้หญิง หลานผู้หญิง ผู้ชายในบ้าน
ที่โตแล้วต่างออกไปทำงานอยู่ กทม หรือไปเรียนต่อกันหมด
ตอนเย็น ก่อนต้อนควายกลับบ้าน พวกเรา
ก็จะเอามันไปอาบน้ำในคลองซอยเล็กๆ ก่อน
ผมก็ยังขี่หลังมันเอาเศษหญ้าเศษฟางมาขัดตัวมัน
ให้สะอาดวาววับก่อนส่งมันเข้าคอก ปู่ก็จัดการสุมไฟ
ไล่ยุง ทาน้ำมันบางอย่างให้มัน
ปีถัดมา ปู่ก็จัดการแทงจมูกอีนวล สนตะพาย
ให้มันบังคับง่ายขึ้น เพราะเวลาขี่จะถือเชือกเส้นเดียว
จากที่ผูกมาจากตะพาย เพื่อให้มันรู้ว่า ดึง หรือกระตุกถี่ๆ
เพื่อแยกความรู้สึกว่า ผมต้องการให้มันเลี้ยวไป
ขวาหรือซ้ายหรือให้มันหยุด ก็บอกมัน ด้วยคำว่า ยอ ๆ
พร้อมกับตบหลัง
พอผมเข้า ป2 ลูกผู้พี่ที่เป็นสาวในบ้าน ก็มีชายหนุ่มมาขอ
แต่งงาน วางสินสอดจัดงานกันใหญ่โตสองวันสองคืน
ผู้คนมากันเต็มบ้าน ในวันทำวันแรก ใข่นับร้อนนับพัน
ถูกเตรียมไว้ทำขนม พริกหอมกระเทียมนั่งปอกกันเป็นถาดๆ
น่ำตาหลั่งไหลกันเชียวจากไอย์หัวหอม
ราวสิบโมงเช้าในความคึกคัก ผมเห็นเขาอาบน้ำอีนวล
สะอาดสวยงาม แล้วทาแป้งพรมน้ำอบ ห่มผ้าที่หลังของมัน
จูงไปลานเชือด ไม่มีใครสนใจผมในความคึกคักนี้
ผมเดินไป ลูบหัวมันผมมีประสบการณ์แล้ว รู้ว่าชะตากรรม
ถัดไปของมันจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่ามันก็รู้เช่นกัน
ผมเห็นคราบน้ำตาของมันไหลออกมา แต่ผมไม่ร้องหรือโวยวาย
อะไรให้ใครหัวเราะในวันงานที่คึกคักนั้น
ผมรักมันเพราะผมเลี้ยงมัน ขี่ อาบน้ำให้มัน
มันก็คงรักผมแหละผมคิดเอง
ภาพภาระกิจที่มันช่วยเด็กตัวเล็กๆอย่างผม
ที่เพิ่งว่ายน้ำเป็น กลับมาในสัมผัสสุดท้ายของผม
ในวันที่พวกพี่ๆที่เลี้ยงควายมีความคิด
อยากเอาฝูงควายข้ามคลองใหญ่ ไปอีกฟาก
เพื่อหาหญ้าและที่เล่นใหม่ๆบ้าง นวล มันว่ายน้ำเก่ง
มากโดยมีผมขี่เกาะหลังมันไป ผมไม่เคยลืมความตื่นเต้นนี้
ไม่งั้นผมคงไม่ได้ข้ามคลองไปกับเขาแน่
ถ้าต้องว่ายน้ำข้ามไปเอง
แล้วคนจูงและทีมงานก็แวกผมออกจากมันเพื่อเอาไปทำภาระกิจ
สุดท้ายของมัน ผมตามไปดูนะคราวนี้ ทีมงานเอาเชือกผูกขามัน
สองขา แล้วตระตุกให้มันล้มอย่างชำนาญในการนี้ง่ายดาย
เขาของมันถูกพลิกลงไปราบกับพื้น เงยคอที่มีลายคาดสีจางๆคาดไว้
ขึ้นมา มีดคมกริบถูกเตรียมไว้ ทำงานอย่างรวดเร็ว…..
ความเจริญข่าวการตัดถนนอีกไม่นานจะเข้ามาถึง
หมู่บ้านเรา ปู่เริ่มขายควายในคอกจนหมด
วันหนึ่ง ปู่ไปเยื่ยมญาติพี่น้อง พาผมไปรู้จักญาติ
ฝ่ายปู่ ในคลองถัดไปที่รู้สึกไกลมากด้วยการนั่งเรือ
หางยาว เป็นพี่น้องฝ่ายที่ยังเป็นพุทธ ชื่อ ปู่ฉ่ำ
เขาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แนะนำคนนี้ป้าคนนี้อา
คนนี้รุ่นปู่นะ กลัวจะขาดกันในเครือญาติรุ่นหลังๆ
ที่ผมอาจเป็นรอยต่อสุดท้าย
ของฝ่ายปู่ ที่แยกศาสนากัน
ดูเป็นบ้านคนมีฐานะ
มีฝูงควายไร่นาบ้านช่องใหญ่โต ใต้ถุนโปร่งทรงไทยโบราณ
คุยกันไปซักพัก ปู่ก็ได้ควายวัยรุ่นตัวใหม่
ที่ส่งตามมาให้ที่บ้านในอาทิตย์ถัดมา
มันเป็นตัวผู้ที่ช่างสง่างามจริงๆในใจผม
เขามันเหมือนควายเผือก ในภาพที่สอง
แต่ไม่สมบูรณ์ขนาดในภาพนะ
ปู่ผมจัดการสนตะพายให้มัน
แล้วตั้งชือมันว่า ไอ้ยา
แน่นอนมันเป็นควายตัวใหม่ที่ผมขี่ ช่วง ป2
และมันเป็นควายตัวเดียวที่เราเลี้ยงไว้ไถนา และนวดข้าว
เป็นภาระกิจหลักของมัน หลังจากเริ่มมีการตัดถนนดิน
เชื่อมเข้าไปในเมือง ควายเริ่มน้อยลงหลายคนขายหมด
ต้องมายืม ไอ้ยา ไปนวดข้าวหรือไถนา
ผมไม่เคยเลี้ยงควายตัวผู้มาก่อน มันดื้อและแข็งแรง
ถ้าไม่สนตะพายมันผมคงเอามันไม่อยู่
แต่บางครั้งตะพายก็เอาไม่อยู่ กับวัยหนุ่มของมัน
เวลามันเห็นตัวเมีย
แล้วจะขึ้นขี่ ผมยังอยู่ที่หลังมันก็เคย
หรือบางครั้ง มันเห็นควายตัวผู้ด้วยกัน
ที่ปรี่เข้ามาหามัน ในฐานะน้องใหม่ ในแถบนี้
มันก็ปรี่เข้าไปเช่นกัน แม้ผมจะดึงเชือกที่ขี่อยู่
จนผมต้องโดดลง เพื่อให้มันได้เข้าไปลุยกันเอง
ในเวลาแค่ปีเดียว ไอ้ยา ก็ได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงของควาย
ในละแวกนั้น ไม่มีใครกล้าหือกับมัน ผมนี่ได้ความภาค
ภูมใจจากมันหลายอย่าง ในเสียงเล่าลือของคนในหมู่บ้าน
ที่กล่าวถึงมัน มันมีตัวเมียในครอบครองเป็นของมัน
แท่บทั้งหมด ที่น้อยตัวจะหลุดไปเป็นของตัวอื่น
ครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ความเจ็บจากสายฝนที่กระหน่ำลงมา
ก็ตอนที่เขาเอามันไปไถนา
ด้วยการได้ขี่หลังไอ้ยา แล้วญาติก็ตีมันด้านหลัง
ให้มันวิ่งกลับบ้านแบบเต็มกำลังหนีฝน
แรงปะทะของสายฝน
กับความเร็วที่มันวิ่ง ตามใบหน้าและลำตัวที่ไม่ใส่เสื้อ
ที่ผมก็ต้องเกาะหนีบมันให้แน่นเพื่อไม่ให้ตก
เวลามันโขยกตามจังหวะท่าวิ่ง
มันเจ็บจนบอกไม่ถูกในตอนนั้น ที่ไม่มีเวลาบอกใคร
นอกจากทนจนกว่าจะถึงบ้าน
แต่ไม่นานนัก บ้านที่อยู่ถัดไปสี่ห้าหลัง ได้ซื้อควายตัวผู้มาใหม่
ชื่อ ไอ้ทุย มันมีเขาแบบ ภาพสุดท้าย มันดุมากกว่าที่ใครคิด
ดื้อเกินกว่าใครจะควบคุม
วันหนึ่ง ผมนอนเลี้ยงไอ้ยา กับฝูงควายคนอื่นๆ
อยู่กลางทุ่งที่ประจำอยู่ ๆ
ไอ้ทุยก็ปรากฎตัว มันปรี่เข้ามาหาไอ้ยา
อย่างรวดเร็ว ไอ้ยาก็ตั้งหลักปรี่เข้าไปเช่นกัน
เจ้าของไอ้ทุย วิ่งตามมา พยายามแยกมันออก
อย่างเต็มที่ผมก็พยายาดึงไอ้ยาออกมา
เสียงเขาของมัน ที่ก้มลงขวิดตัก ปะทะกัน
อย่างกึกก้องในความเงียบของท้องนา
สันหลังลำคอทั้งสองฝ่าย ดูทรงพลังและ
น่ากลัวมากสำหรับผมในเวลานั้น
เกมส์ไม่ทันจบ มันถูกแยกออกจากกัน
ทุกครั้งที่เอาออกไปกลายเป็นต้องระวัง
ว่าเขตไหนของไอ้ยา รัศมีไหนของไอ้ทุย
เพื่อเลี่ยงการปะทะ
แต่ในที่สุดการปะทะกันจริงจังก็เกิดขึ้น
ที่ต้องปล่อยให้มีการตัดสินด้วยความจำเป็น
ที่ห้ามไม่อยู่ จะได้จบๆวัดกันไป สรุปว่า
พันตูกันสักพัก ไอ้ยา เป็นฝ่ายวิ่งหนีได้ทุย
วิ่งไล่ตาม ปิดเกมส์ เป็นที่รู้กันว่าใครได้เป็น
จ่าฝูงคว่าตำแหน่งในละแวกนั้นไป
ตอนจบของเรื่องควายๆ นี้มาถึงตรงที่
พ่อมาผมมารับผมให้เข้าไปเรียนที่ ใน กทม
หลังจากที่ย้ายครอบครัวจากนคร ฯ มาปักหลักใน
กทม ได้พักหนึ่ง ผมเก็บข้าวเก็บของ
ด้วยความดีใจที่จะได้กลับไปอยู่กับป๋ามะอีกครั้ง
บอกลาปู่ พี่ป้าน้า และเข้าไป ที่กอไผ่หลังบ้าน
ที่ผูกควายประจำ ขึ้นขี่ไอ้ยาครั้งสุดท้าย
มองดูเขาอันสง่างามของมันลูบเขาและหน้าผากมัน
ผมไม่เคยพูดกับควายนะ นอกจากศัพท์เทคนิค
ที่ใช้สื่อสารกันเท่านั้น ไม่มีสำนวนภาษาใดๆสำหรับมัน
นอกจากความรู้สึกที่คลุกคลีกัน
สองปีถัดมา ผมกลับไปเยี่ยมปู่ มีถนนตัดผ่านแล้ว
เรามีไฟฟ้าใช้สว่างไสวทั้วหมู่บ้านยามค่ำคืน มีเสียง
ทีวีขาวดำมาแทนวิทยุตามบ้าน ที่เมื่อก่อนนี้เราจะดูทีวี
เราต้องไปที่ร้าน ตาเฮง เท่านั้นมีเครื่องเดียวนหมู่บ้าน
ที่มีเครื่องปั่นไฟ เปิดขายของกลางคืน
หลังจากทักทาย สลามญาติๆ ผมลงไปดูในคอกสภาพ
รกร้างเต็มไปด้วยใยแมงมุม ดูใต้ถุนที่เงียบเหงา
วิ่งไปดูที่กอไผ่หลังบ้าน ไม่มีไอ้ยา เพื่อนเก่าผมแล้ว
ไม่มีใครพูดถึงมัน จนผมทนไม่ได้ถามว่ามันไปไหนแล้ว
สรุปว่า มันถูกขายให้กับโรงเชือดไปแล้ว
ผมถามถึงไอ้ทุย คู่ปรับของมันกับบังๆที่เคยเลี้ยง
ควายด้วยกัน เขาเล่าว่า
“ไอ้ทุยมันดื้อ เอาไม่อยู่ สุดท้ายนี่ มันขวิดเจ้าของ
มันเอง จนได้รับบาดเจ็บ เขาเลยส่งมันไปโรงเชือดซะ”
เขียนเรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่า น้ำตาผมไหล
และคิดถึงควาย ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตในวัยเด็ก
โฆษณา