25 ก.ย. 2022 เวลา 07:48 • การศึกษา
แนวข้อสอบ ก.พ. (บทความสั้น)
จงอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถามข้อ 1.
"น้ำเย็น" ใคร ๆ ก็ชอบดื่ม ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรืออากาศเย็นหรือฝนตก ก็เห็นหลายคนดื่มกันแบบชื่อใจทุกที แต่เชื่อหรือไม่ว่าการดื่ม "น้ำเย็น" มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสุขภาพร่างกายหลายข้อ จึงมีความรู้การดื่ม "น้ำเย็น" เผยแพร่ทางโซเชียลมากมาย แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าประเด็นไหนจริง ประเด็นไหนเท็จ
โดย พญ. วรรณวิพุธ สรรสิทธิ์วงศ์ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ช่วยไขข้อข้องใจว่า การดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า มีประโยชน์ในเรื่องของการทำให้ผิวพรรณและเยื่อบุต่าง ๆ ชุ่มชื้น ป้องกันความแห้งกร้าน ช่วยระบบขับถ่าย ที่สำคัญช่วยลดการหิวกระหายน้ำ ปกติถ้าร่างกายขาดน้ำ จะมีการกระตุ้นให้เรากระหายน้ำอัตโนมัติอยู่แล้ว ถ้าหากใครฝืนไม่ดื่มน้ำก็จะมีโทษของการขาดน้ำ คือ เป็น "โรคภาวะขาดน้ำ"
(ต่อ) ถ้าใครดื่มน้ำมากเกินไปก็จะมีผลเสียเช่นกัน แต่ไม่มาก เพราะร่างกายมีกระบวนการขับน้ำออกได้อยู่แล้ว การที่น้ำจะเป็นพิษต่อร่างกาย ก็ต่อเมื่อเราเราอุตริดื่มมากเป็น 10 ลิตรนั่นเอง แต่ก็เกิดได้น้อยอีกเช่นกัน เพราะร่างกายมีกลไกป้องกันการดื่มน้ำที่มากเกินไป นั่นคือ เราจะมี "อาการจุก" จนดื่มไม่ไหวนั่นเอง
สำหรับการดื่ม "น้ำเย็น" มีหลากหลายประเด็นที่มีการแชร์ข้อมูลกันมากมายในโนโซเชียลไม่ว่าจะเป็นการดื่ม "น้ำเย็น" ช่วยในเรื่องของ "การลดน้ำหนัก" เนื่องจากทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิ "น้ำเย็น" เป็นน้ำอุ่น เพื่อให้สมดุลกับอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันจึงไม่ทราบว่า "น้ำเย็น" สามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
แต่ประเด็นการดื่มน้ำที่ได้ประโยชน์ ช่วยลดน้ำหนักได้นั้นจริง คือการดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนรับประทานอาหาร เพราะน้ำจะไปแย่งพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารน้อยลง แต่ไม่ใช่ปฏิบัติเช่นนี้เพียงอย่างเดียว เพราะร่างกายยังมีการเผาพลาญอื่น ๆ อีกที่ช่วยในการลดน้ำหนัก สำหรับปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการ คือ 8 แก้วต่อวัน และควรเป็นน้ำอุ่นในอุณหภูมิเดียวกับร่างกาย เหมือนที่เราชอบพูด ๆ กันว่า "น้ำในอุณหภูมิห้อง"
อีกประเด็น คือการดื่ม "น้ำเย็น" ส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะทำให้มี "อาการปวดท้อง" นั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งไม่ใช่แค่ "น้ำเย็น" เท่านั้น แต่น้ำร้อนก็สามารถเปลี่ยนอุณหภูมิในกระเพาะอาหาร และทำให้เอนไซม์ทำงานไม่เต็มที่ ซึ่งอุณหภูมิในกระเพาะอาหารจะถูกออกแบบมาแล้วว่าควรมีอุณหภูมิเท่าไหร่
ดังนั้น เราควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิร่างกาย เพื่อไม่ให้ไปรบกวนระบบการทำงานของกระเพาะอาหาร จนทำให้มีกล่าวมาไม่ได้รบกวนกิจวัตรประจำวัน ก็ไม่มีใครห้าม เพราะร่างกายเป็นของเราเอง
1. จากบทความนี้ ข้อใดไม่ถูกต้อง
  • 1.
    การดื่มน้ำเย็นช่วยลดน้ำหนักได้
  • 2.
    การดื่มน้ำควรดื่มน้ำในอุณหภูมิห้อง
  • 3.
    การดื่มน้ำร้อนทำให้เอนไซม์ทำงานไม่เต็มที่
  • 4.
    หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะเป็นโรคภาวะขาดน้ำ
ตอบ 1. เพราะ สังเกตจากข้อความสำหรับการดื่ม "น้ำเย็น" มีหลากหลายประเด็นที่มีการแชร์ข้อมูลกันมากมายในโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการดื่ม "น้ำเย็น" ช่วยในเรื่องของ "การลดน้ำหนัก" เนื่องจากทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิ "น้ำเย็น" เป็นน้ำอุ่น เพื่อให้สมดุลกับอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงไม่ทราบว่า "น้ำเย็น" สามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่
อ่านเนื้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามข้อ 2. - 4.
การที่คนเราดื่มกาแฟนั้น ถ้าไม่ได้ติดใจในรสชาติของกาแฟแล้ว ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะหวังผลในการลดความง่วง โดยสารออกฤทธิ์สำคัญที่อยู่ในกาแฟ คือ สารคาเฟอีน (Caffeine) สารเคมีชนิดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท จึงทำให้ผู้ดื่มกาแฟตื่นจากอาการง่วงได้
นอนจากฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้ว คาเฟอีนยังออกฤทธิ์ต่อร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วย ไม่ต่างจากการกินยาชนิดหนึ่งเข้าไป ผลข้างเคียง (Side Effect) ที่ว่านี้ได้แก่ ทำให้ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น เวียนหัว กระสับกระส่าย ปากแห้ง ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ปัสสาวะเพิ่มขึ้น ผลข้างเคียงที่กล่าวมานี้อาจเกิดขึ้นมากน้อยแตกต่างกันไปในคนแต่ละคน หรือในคนคนเดียว ผลบางอย่างก็เกิดมาก ผลบางอย่างก็เกิดน้อย ผลแต่ละอย่างจะเกิดมากหรือเกิดน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับและสรีรวิทยาของร่างกาย
(เรียบเรียงโดย ์นพ. วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์)
2. จากบทความข้างต้น ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายอย่างไร
  • 1.
    ชี้ให้เห็นผลข้างเคียงของกาแฟ
  • 2.
    วิเคราะห์คุณและโทษของกาแฟ
  • 3.
    เตือนให้ระวังในการดื่มกาแฟ
  • 4.
    ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารคาเฟอีนในกาแฟ
ตอบ 4. เพราะ เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารคาเฟอีนในกาแฟ ทั้งข้อดี รวมไปถึงผลกระทบต่างๆ จากสารคาเฟอีน
3. หากจะตั้งชื่อบทความข้างต้นใหม่ ควรตั้งชื่อเรื่องว่าอย่างไร
  • 1.
    สารคาเฟอีนในกาแฟ
  • 2.
    คุณและโทษของคาเฟอีน
  • 3.
    สาระในคาเฟอีน
  • 4.
    ข้อควรระวังเกี่ยวกับคาเฟอีน
ตอบ 1. พ่อเนื้อเรื่องส่วนใหญ่พูดถึงสารคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ
4. ใครนำความรู้ที่ได้จากการอ่านบทความข้างต้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีที่สุด
  • 1.
    นรินทร์รู้ว่าตัวเองแพ้สารคาเฟอีนในกาแฟ แต่รู้สึกง่วงจำต้องฝืนเดินกาแฟเข้าไป
  • 2.
    วรากรดื่มกาแฟหลังอาหาร เพื่อลดการออกฤทธิ์ของคาเฟอีนในการกระตุ้นประสาท
  • 3.
    สุเมธเตือนคุณปู่ไม่ให้ดื่มกาแฟเนื่องจากอายุมากและเกรงว่าจะได้รับผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ
  • 4.
    ปรียากรง่วงแต่ไม่มีกาแฟให้ดื่ม จึงกินยาชนิดหนึ่งเข้าไปเนื่องจากยาชนิดนั้นให้ผลเช่นเดียวกับการดื่มกาแฟ
ตอบ 3. เพราะคุณปู่อายุมากแล้วเกรงว่าจะได้รับผลกระทบข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ
อ่านเนื้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถามข้อ 5. - 6.
ความผิดพลาด
เมื่อสุนัขตกจากสะพานชำรุดสู่ลำน้ำ มันไม่ว่ายขึ้นฝั่ง เชิดหน้า สะบัดขน ไม่บ่นว่า หรือด่าทอสะพาน และก็ไม่ร้องขานแก้ตัว ไม่มีสัตว์โลกชนิดใดเลยที่จะแก้ตัวให้กับความผิดพลาดของมัน มันจะทำในสิ่งที่เหมาะสมกว่านั้นคือ เริ่มต้นใหม่อย่างไม่ประมาท เมื่อมีบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ใยต้องพะวงกับการกล่าวหายามผิดพลาด อย่าพะวงถึงการแก้ตัว ใช้รอยยิ้มและการกระทำดีแทนการแก้ตัวเถิด
(โดย Lee Min Ho Chattong)
5. จากบทความข้างต้น ข้อใดกล่าวถูกต้อง
  • 1.
    ให้ทำตัวเหมือนสุนัขที่ตกสะพาน เพราะมันไม่เคยด่าทอหรือโทษสะพาน
  • 2.
    ไม่มีสัตว์โลกชนิดใดเลยที่จะแก้ตัวให้กับความผิดพลาดของมัน
  • 3.
    คนเราเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดแล้ว ก็ให้กระทำดีแทนการแก้ตัว
  • 4.
    เริ่มต้นใหม่ชีวิตใหม่ยังไม่ประมาท
ตอบ 3. เพราะใจความสำคัญของเรื่องนี้สอนให้รู้จักทำดีแทนการแก้ตัว
6. จากบทความข้างต้น มีคำชนิดใดมากที่สุด
  • 1.
    คำสัมธาน
  • 2.
    คำบุพบท
  • 3.
    คำกิริยา
  • 4.
    คําสรรพนาม
ตอบ 3. เพราะ คำกริยา คือ คำแสดงอาการ สภาพ หรือการกระทำของคำนามและคำสรรพนามในประโยคได้แก่ ตก สะบัด ส่าย บ่น ด่า เชิด ร้อง
คำสันธาน คือ คำเชื่อมประโยค ได้แก่ และ
คำบุพบท คือ คำเชื่อมคำ ได้แก่ ที่
คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนามที่ผู้พูดหรือผู้เขียนกล่าวแล้ว ได้แก่ มัน
7. "หญ้าแฝกปลูกในน้ำจะไปกำแพงกักกั้นสิ่งสกปรกและสารพิษที่ถูกปล่อยมากับท่อระบายน้ำทิ้ง โดยช่วยป้องกันมิให้ของเสียเหล่านี้หลายปะปนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ อีกทั้ง ระบบรากของหญ้าแฝกยังมีประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุโลหะหนักและสารเคมีบางอย่างได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น หญ้าแฝกจึงเป็นทางเลือกที่น่าลองสำหรับการทำระบบบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีธรรมชาติ"
ข้อใดตีความได้ถูกต้อง
  • 1.
    ถ้าการทำระบบบำบัดน้ำเสียโดยใช้หญ้าแฝก
  • 2.
    ประโยชน์ของหญ้าแฝกในด้านการบำบัดน้ำเสีย
  • 3.
    ลักษณะพิเศษของหญ้าแฝกที่ช่วยในการกำจัดน้ำเสีย
  • 4.
    กระบวนการกำจัดน้ำเสียด้วยหญ้าแฝกวิธีทางธรรมชาติ
ตอบ 2.
8. "ในกาแฟมีเคมีชื่อคาเฟอีน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นทางด้านจิตใจ ทางประสาท และทางร่างกาย ทำให้เกิดการกระปรี้กระเปร่า คล่องแคล่วว่องไว ไม่ซึมไม่ง่วง แต่เป็นสภาพชั่วคราว บางคนดื่มกาแฟแล้วถึงนอนไม่หลับ คาเฟอีนช่วยหลอดเลือดเล็กน้อยทำให้เลือดไหลสู่หัวใจและสมองได้ดีขึ้น บางคนไม่ถูกกับกาแฟดื่มกาแฟแล้วเกิดการปวดศีรษะและมาระบบย่อยอาหารไม่ได้"
ข้อความข้างต้นกล่าวถึงเรื่องใด
  • 1.
    ควรรู้เรื่องกาแฟ
  • 2.
    คุณและโทษของการดื่มกาแฟ
  • 3.
    ข้อควรระวังในการดื่มกาแฟ
  • 4.
    ส่วนประกอบของกาแฟที่สำคัญ
ตอบ 2.
9. เราให้ความรู้ว่า เกษตรอินทรีย์คืออะไร คนเราจะสับสนว่าเกษตรอินทรีย์กับเกษตรปลอดสารเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ส่วนมากคิดว่าเกษตรอินทรีย์ผักปลอดสาร ผมอธิบายอย่างนี้ว่า ผักปลอดสารก็คือผักปลอดภัยนั่นเอง เป็นผักที่ใช้สารเคมีแต่มีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่ปลอดภัย แต่สำหรับเกษตรอินทรีย์ต้องไม่ใช้สารเคมีเลยตลอดกระบวนการ เหงานี้เป็นสิ่งที่เราต้องการให้ความรู้ให้แนวคิดซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา"
ข้อความนี้สรุปได้อย่างไร
  • 1.
    ผักที่ผลิตโดยวิธีการเกษตรอินทรีย์เป็นผักไร้สารพิษ
  • 2.
    ผักปลอดสารพิษ คือ ผักที่ปลูกจากวิธีการเกษตรอินทรีย์
  • 3.
    ผักปลอดสารพิษ คือ ปลูกโดยวิธีเกษตรพื้นบ้าน
  • 4.
    กินผักปลอดสารพิษแล้วร่างกายจะแข็งแรง
ตอบ 1.
10. "ในการวิเคราะห์ผลของบุญและบาป หนังสือไตรภูมิพระร่วงชี้แจงว่าจะต้องเอาปูนและบาปที่คนกระทำมาเทียบเคียงกันข้างใดหนักก็ไปนั้นก่อน เช่น ทำความชั่วมากทำความดีน้อยให้ไปรับโทษในนรกก่อนเสร็จแล้วจึงไปเสวยสุขได้ สวรรค์ แต่ถ้าความดีกับความชั่วเสมอกันให้ไปเกิดในนรกและสวรรค์ครั้งละ 10 วัน สลับกันไปจนกว่าจะสนบาปแล้วบุญ"
ข้อความนี้สรุปได้อย่างไร
  • 1.
    หนังสือไตรภูมิพระร่วงมีหลักในการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องบุญและบาปอย่างชัดเจน
  • 2.
    ผลของบุญหรือบาปดูได้จากความดีและความชั่วที่คนกระทำ
  • 3.
    การที่คนจะรับผลบุญหรือบาปก่อนนั้นต้องชำนาญและบาปมาเปรียบเทียบกัน
  • 4.
    การที่คนจะได้รับผลของบุญหรือบาปจะต้องพิจารณาจากกรรมเก่าที่กระทำ
ตอบ 3.
โฆษณา