29 ก.ย. 2022 เวลา 14:57 • ความคิดเห็น
ผมมองจากหลายๆมุมดังนี้ครับ
“You are the average of the five people you spend the most time with.”
Jim Rohn,
1) “The environment has never defined you. It simply gives you the opportunity to define yourself.”
ในบางสถานการณ์ เราไม่สามารถ “เลือก” สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะมี “ปฏิสัมพันธ์” (interactions) กับสิ่งรอบตัวของเราได้!
# คำวิจารณ์
”พิจารณาผู้ที่มอบคำวิจารณ์”
เราต้องประเมินจากข้อมูลสองชุดครับ
i) ประเมินผู้ที่ให้คำแนะนำคุณว่าเขาหวังดีและจริงใจกับคุณเพียงใด
ii) ประเมินผู้ให้คำแนะนำคุณว่าเขามีความรู้ความสามารถประสบการณ์ในสายงานที่เขาให้คำแนะนำคุณได้ในระดับใด
แน่นอนว่า.....
A) ถ้าคุณประเมินแล้วว่าเขาไม่น่าเชื่อถือเพราะเขาไม่หวังดีต่อคุณเสียตั้งแต่ต้น คำแนะนำจากเขาจะไม่น่าเชื่อถือโดย
สิ้นเชิง
B) ถ้าคุณเล็งเห็นแล้วว่าเขาปรารถนาดีต่อคุณโดยบริสุทธิ์ใจ แต่เขาไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ที่จะให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแม่นยำได้ คุณคงทำได้เพียงขอบคุณในความปรารถนาดีนั้น
C) ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดย่อมมาจากผู้ที่ปรารถนาดีต่อคุณและยังเป็นผู้รู้ในเชิงลึกถึงสิ่งที่เขาหรือเธอกำลังให้คำแนะนำอยู่
”พิจารณาลักษณะคำวิจารณ์”
ผมมองว่าเจตนาเป็นเรื่องสำคัญครับ คือถ้าเป็นการสื่อสารที่ต้องการความชัดเจนเพื่อป้องกันความผิดพลาด การพูดตรงๆที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาดี สามารถสร้างความเข้าใจที่ดีได้
ส่วนการพูดไม่คิด ดูเหมือนผู้พูดขาดทักษะในการมองภาพในมุมกว้าง หรือถ้าเจตนาของเขาไม่ดี คือเขาต้องการแสดงอำนาจ แน่นอนว่าถ้าเขาเป็นผู้นำในองค์กร เขาควรได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในเรื่องนี้
ถ้าให้ผมเปรียบเทียบ
l) คนพูดตรงที่มีเจตนาดี ก็เหมือนเชฟที่ตั้งใจทำอาหารคุณภาพอย่างสุดฝีมือ แต่เขาไม่โรยต้นหอมซอยเพื่อตกแต่งจานก่อนส่งให้ลูกค้า
ll) คนพูดไม่คิด ก็เหมือนเชฟที่เข้าห้องน้ำทำธุระหนักเบา แล้วไปหั่นเนื้อต่อโดยไม่ล้างมือ อย่าจงใจ
2) แสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง
คุณเคยได้ยินสมการนี้มั้ยครับ
O = S + A
O: Outcome
S: Situation
A: Action
คือผมมองว่าไม่ว่าคุณจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือสอบตกหรือนำ้หนักเกินหรือมีหนี้สิน ฯลฯ ซึ่งในสมการด้านบนคือ Outcome คุณมีหน้าที่ หรือ responsibility ที่จะจัดการ หรือ Action ในสมการด้านบน เพื่อที่จะบริหารจัดการ (crisis management) กับสถานการณ์ในชีวิตของคุณ ซึ่งก็คือ Situation ในสมการด้านบนนั่นเอง
พูดง่ายๆคือ คุณอาจเลือกที่จะเจอกับ Situation ไม่ได้ แต่คุณเลือกที่จะจัดการโดย Action ของคุณ เพื่อให้ได้ Outcome ที่จะนำพาชีวิตคุณและคนที่มีค่าต่อคุณไปในเส้นทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่เลวลง
“คนรอบข้าง” ที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่าห้าคน คนเหล่านี้ย่อมแสดงตนเป็น “influencers” ทางการคิดและการกระทำที่จะมี “อิทธิพล” ต่อเราไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับว่า “ตัวเราเอง” จะ “เลือก” ที่จะให้คนเหล่านั้นมามีอิทธิพลต่อเรามากน้อยแค่ไหน
คล้ายกับว่า พวกเขาพยายามจะ “ขายของ” ให้เรา เพียงแต่ว่า “เรารู้จักตัวเราเองดีแค่ไหน!” และเราจะ “ซื้อ” ของที่คนรอบข้างเราพยายาม “ขาย” ให้หรือไม่ เป็นต้นว่า
คนใกล้ชิดกับคุณทุกคนขับรถยุโรปกันทุกคน และพวกเขาอยากให้คุณซื้อรถยุโรปอย่างพวกเขาด้วย ถ้าหากคุณเป็นคนที่ศึกษาเรื่องรถมาบ้าง คุณอาจพบว่า รถยุโรปบางรุ่นบางยี่ห้อนั้น หากซื้อมาแล้วเมื่อใช้ไปได้ไม่ถึงสิบปี “ราคาขายต่อ” จะหายไปเกินกว่า 60% ของราคารถใหม่ตอนที่คุณซื้อมา!
ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่อยากขายรถภายหลังในราคาที่ยังสูงอยู่ คุณจะปฏิเสธเพื่อนๆของคุณโดยหันไปซื้อรถจากญี่ปุ่นบางรุ่นบางยี่ห้อ ที่มีราคาขายต่อดีกว่า!
โปรดจำไว้ว่า
“คุณกับคนเหล่านั้น อาจจากลากันในวันข้างหน้า แต่คุณจะอยู่กับตัวของคุณเองไปตลอดชีวิต” ดังนั้นหากคุณกำลังจะตัดสินใจเรื่องใดๆในชีวิต โปรดจง “ถามใจตัวเอง” ให้ดีๆเสียก่อน!
3) ยุคสมัยแห่ง influencers
อันที่จริงผมมองว่า อิทธิพลของ “influencers” นั้นมีมายาวนาน หากแต่ยุคสมัยแห่ง social media platforms ต่างๆได้ “มอบ/กระจายอำนาจ” (decentralisation) ในการที่บุคคลใดสามารถที่จะไปมี “อิทธิพลทางความคิดและการตัดสินใจ” ต่อผู้คนในสังคมได้ ในรูปแบบที่ “การผู้ขาดของสื่อ” ยังอยู่ในมือของคนที่มีโอกาสทางสังคมสูงกว่า ซึ่งนำมาสู่ “ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส” ในการเป็น influencers ของสังคมในยุคนั้น
ในทางตรงกันข้าม ยุคสมัยแห่ง social media platforms ต่างๆ ได้ “หยิบยื่นโอกาส” ให้ผู้คนมากมายในสังคมได้มี “โอกาส” ในการที่จะได้เป็น “ผู้นำทางความคิด” ผ่าน platforms ต่างๆ และให้ “ตลาด” หรือผู้คนในสังคมได้มี “โอกาสเลือก” influencers ในดวงใจด้วยตัวเอง แทนที่จะปล่อยให้ “the average of five people” อย่างที่ท่าน Jim Rohn มามี “อิทธิพล” เหนือเรา เพียงเพราะว่า “เราไม่มีโอกาสเลือก” คนที่จะมาแวดล้อมเราเหมือนดังเช่น “คนในยุค pre-social media era”
4) ผมเองได้รับอิทธิพลทางความคิดมากมายจากบุคคลในหลากหลายวงการ โดยที่ผมอยู่ห่างไกลจากบุคคลเหล่านั้นทั้งมิติของ “สถานที่, เวลา, และ สถานะทางสังคม” แต่ด้วยอำนาจของ social media platforms ดังเช่น Youtube จึงทำให้ผมสามารถ “เลือก” —> “the average five people (or more)” ได้ด้วยตัว
ของผมเอง!
ไม่ว่าจะเป็น
# จักรพรรดิแห่งกรุงโรม
# นักลงทุนระดับโลก
# บทบาทจากภาพยนตร์ที่ผมชื่นชอบ
# นักกีฬาอาชีพและนักดนตรีที่ผมอาจไม่เคยติดตามผลงานของพวกเขาและเธอ
# นักธุรกิจจากวงการ social media
# นักเขียน
# นักการเมืองระดับโลก
# “คุณทองแดง”
โฆษณา