30 ก.ย. 2022 เวลา 11:17 • ถ่ายภาพ
Olympus Om-1 กับฟิล์มสามม้วน
The minimalism
Olympus OM-1n กับเลนส์ F.Zuiko Auto-s 50mm f1.8
หลังจากมีผู้อนุเคราะห์ให้ยืมกล้องแล้วเลนส์มาทดสอบ กล้องท่ีผมยังสงสัยตัวเองว่าทำไมเล่นกล้องมาตั้งแต่สี่สิบปีที่แล้ว เลนส์มาแทบทุกยี่ห้อ แต่ทำไมไม่เคยจับ Olympus OM มาก่อนเลย เป็นยี่ห้อเดียวจริงๆ
พอได้ทดสอบกับฟิล์มจริงด้วยตัวกล้อง OM-1 และ OM-1n โดยมีเลนส์สองตัว 50mm f1.8 และ 135mm f3.5 ใช้ฟิล์มไปสามม้วน บอกได้ว่าเป็นกล้องในอุดมคติตัวหนึ่งเลย เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม ตอนนี้ไปรู้จักต้วกล้องกับปุ่มปรับต่างๆกันครับ
ด้านหน้าเริ่มต้ังแต่หน้าสุดของตัวกล้อง หลังเม้าท์ยึดเลนส์เป็นแป้นปรับสปีดชัตเตอร์ที่ผมเชื่อว่ามีแค่ยี่ห้อนี้กับพี่น้อง OM นี้เท่านั้นที่มีแป้นปรับสปีดชัตเตอร์แบบนี้
ขอบอกว่าคนใช้กล้องมาเยอะแรกๆก็ไม่คุ้นไม่เคยชิน ต้องใช้เวลาพักหนึ่งค่อยทำได้แบบไม่ต้องละกล้องจากช่องมอง มันไม่เหมือนใครแต่ไม่ใช่ไม่ดี แค่ไม่คุ้นเคย
ถัดเข้ามาด้านบนของบริเวณกระบอกเม้าท์มีสวิทช์ปรับแบบกลไกล้วนๆ เพื่อยกกระจกสะท้อนภาพขึ้น ง่ายๆแบบเรียบง่ายมาก และเมื่อพูดเรื่องนี้แล้วขอเอาวีดีโอที่บันทึกแบบภาพช้าให้ดูว่ากระจกสะท้อนภาพทำงานได้นิ่มนวลมากๆอย่างไร
กระจกสะท้อนภาพในจังหวะยกขึ้นสุดมีกลไกที่เฉพาะของ Olympus เรียกว่า Air brake ทำหน้าที่ชะลอความสะเทือนในจุดนี้ เพราะเป็นจุดตอนม่านชัตเตอร์เริ่มเปิดรับแสง ถ้าสะเทือนมากก็อาจจะทำให้ภาพไหวได้ในความเร็วต่ำ
สำหรับผมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง กล้องที่ผมใช้ต้องสร้างความมั่นใจให้ใช้ความเร็วต่ำสุด 1/30 sec ได้โดยไม่เกิดภาพไหว OM-1(n) ได้ผ่านการทดสอบจุดนี้ของผมไปได้
ปุ่มปรับถัดไปอยู่ข้างๆเม้าท์เลนส์เป็นก้านปรับเพื่อตั้งเวลา Self timer หรือตัวตั้งเวลาถ่ายภาพ ทำงานเหมือนกล้องแบบเดียวกันทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษดีกว่าหรือแย่กว่า
ตามขึ้นมาเล็กน้อยมีปุ่มปลดเพื่อทำการกรอฟิล์มและยังใช้สำหรับเวลาต้องการขึ้นชัตเตอร์โดยไม่ขึ้นฟิล์มด้วย สำหรับถ่ายภาพซ้อน ไม่ต้องมีปุ่มอะไรเพิ่มเพื่อการนี้
ในฝั่งเดียวกันด้านบนของกล้องมีก้านขึ้นชัตเตอร์/ฟิล์ม และปุ่มกดชัตเตอร์ปกติแบบกล้องทั่วไป แต่มีแป้นปรับตัวใหญ่ที่สำหรับกล้องทั่วไปมักจะเป็นตัวปรับสปีดชัตเตอร์ แต่เป็นแป้นปรับความไวแสงฟิล์ม ข้างๆมีปุ่มเล็กๆ ให้กดไว้แล้วจะสามารถหมุนแป้นปรับความไวแสงฟิล์มได้ โดยเริ่มจาก iso 25 ไปถึง iso 1600 ครบสำหรับฟิล์มมาตรฐานทั่วไป
ด้านบนอีกด้านนอกจากที่กรอฟิล์ม(และยกขึ้นเพื่อเปิดฝาหลัง)แล้วก็มีแค่สวิทช์ตัวใหญ่เพื่อเปิด/ปิดเครื่องวัดแสง
โดยในช่องมองยิ่งเรียบๆเข้าไปใหญ่ มีแค่เข็มวัดแสงและสัญลักษณ์ +/- เท่านั้น
สำหรับผู้ชอบใช้กล้องทันสมัยอาจจะดูว่าง่ายไป แต่สำหรับผมที่ใช้กล้องแบบไม่มีวัดแสงและถึงมีก็แค่ +/- มาตลอดทำให้ไม่รู้สึกแตกต่างอย่างไรเลย
ช่องมองตามสเปคบอกกว่ามีตัวคูณสูงมากถึง 0.92x ที่กล้องทั่วไปจะประมาณ 0.7x แถมขอบเขตช่องมองเท่ากับ 97% ของพื้นที่รับภาพ โดยส่วนตัวก็รู้สึกสว่างและกว้างดี แต่สำหรับคนแก่พอกล้องไม่มีตัวปรับแก้ค่าสายตา ยาว/สั้น มาให้ก็เลยต้องหาตัวช่วยมาติดไว้ด้วยถึงจะมั่นใจเวลาโฟกัส
สรุปว่าจัดเป็นกล้อง minimalism คือมีเฉพาะเท่าที่จำเป็น แต่ความเล็กคล่องตัวน้ำหนักดี ม่าน/กระจกทำงานนิ่มนวลพอ ทำให้เป็นตัวเลือกสำหรับผมไปเลย
โฆษณา