Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พี่ป๊อก นักติว
•
ติดตาม
4 ต.ค. 2022 เวลา 14:56 • หนังสือ
ประวัตการสร้าง "พระศรีอาริยเมตไตรย"
โดย : พระราชพรหมยาน
ประวัติการสร้างพระศรีอริยเมตไตรย์
พระพุทธบัญชา
"...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำ เฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ 10 กับศีล 5 (พระศรีอาริย์) ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อ (วันที่ 16 มีนาคม 2535) วันนั้นตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.. "ล้างท้อง" ไม่มีอาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด เหลือคนเดียว..!
เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมากอากาศดีร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย..ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิดหน่อย กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก..ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้เกือบ 10 เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว
พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ 5 ในเมื่อขันธ์ 5 มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย ขันธ์ 5 มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่ ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน..นอนแล้วใจนึกถึงพระ..ภาวนาตามปกติ..จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์
หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสด็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณเทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขาใกล้ ๆ ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ (เทวสภา) ที่นั่นมีเทวดามีพรหมประชุมกันเต็มหมด เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่าง ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ "องค์ปัจจุบัน"
เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน
พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กันความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (15 มีนาคม 2535) เราหล่อ (สมเด็จองค์ปฐม) แล้วภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับและต่อไปก็ทางเดิน 100 ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก 4 ปีก็เสร็จ เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงานเรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี
ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว (สมเด็จองค์ปฐม) ทรงตรัสว่า "เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะเสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือน้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.! ฉันมีความต้องการให้หล่อ (พระศรีอาริย์)" ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า
"ต้องหล่อ...เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อองค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง (มณฑปพระศรีอาริย์) ขึ้นในสถานที่ใกล้ ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ (มณฑปหลวงพ่อปาน) ท่านบอกว่า
"ที่ตรงนั้น...ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้าง (มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย) เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน" เลยถามว่าจะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?
ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา...พระศรีอาริย์ก็มาในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน? แต่ความจริงพระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่างเป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี...เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อจริง ๆ ท่านยืนให้ดู
รูปลักษณะที่จะหล่อ
ท่านบอก...หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมดไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อให้เป็นเนื้อ...เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า
"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกงจะทำอย่างไร?" ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"
ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกาย ให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์" ก็ถามว่า "มีจักรมีพระขรรค์ทำไม?" ท่านบอก "ผมห้อยเฉย ๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"
"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า หากคนใดที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร" คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะหรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดีเลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"
ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา...ให้หล่อเป็นรูปเทวดาอย่าเพิ่งหล่อเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็นเทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน) ก็ถามท่านว่า "ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้ ? ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"
คำสอนของพระศรีอาริย์
ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะจงไปทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"
(นี่...สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ 2 อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)
ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษาศีล 5 เป็นปกติ รักษา กรรมบถ 10 เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น อุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที
ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ 10 เหมือนกัน ศีล 5 ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น วิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์
บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง ศีล 5 และ กรรมบถ 10 หมายความตามธรรมดา คนเรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยาฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง บางคนมีอาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง
ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถเป็นพระอริยะได้
เอาละ...บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษา ศีล 5 ครบถ้วน กรรมบถ 10 ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดีหรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้"
งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์
ครั้งหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี 2535 จึงได้จัดงานทำบุญประจำปี และงานพิธีหล่อ พระศรีอาริย์ วันที่ 12 มีนาคม 2537 อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา 17.00 น. พระครูปลัดอนันต์พทฺธญาโณ เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวงเนื่องในพิธีสุมทอง
และวันที่ 13 ตอนเช้า เวลา 07.00 น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำพิธีหน้าวิหาร 100 เมตร เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา 2 ไร่ เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถระนุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร 100 เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธบริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ 500 บาท ได้รับล็อกเก็ต 1 องค์เป็นที่ระลึกด้วย
ครั้งถึงเวลา 14.00 น. หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธานเททองในวันนี้ (แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา) เดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
สำหรับ "ทองคำ" มีญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก 40 กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ 3 เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้ดีเรียบร้อยดี.!" ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้
พระอนาคตวงศ์
บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธภาษิตปริยาย มีเนื้อความตายพระบาลีว่า
เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วะสันโต...เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ 27 โกฏิฯ
ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตะเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริตเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง 10 องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนาพระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน" แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)
"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ 5,000 ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลงคงอยู่ 10 ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล...จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือ เป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้อยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก
เมื่อพ้น 7 วันล่างไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นเห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อมเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัดร้องไหักันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล 5 จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า
"อะยัง อัตตะภาโว...อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง...หาจริงมิได้ ทุกขัง...เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."
เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ 10 ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง 20 ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง
ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาทมิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง 8 หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดู คือ 5 วันตก 10 วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดี
เกตุมดีราชธานี
ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดยยาวได้ 16 โยชน์ โดยกว้างได้ 1 โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง 4 ประตูเมือง มีแก้ว 7 ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้นโดยรอบพระนคร
ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว 7 ประการผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้)
ประวัติพระเจ้ามหาปนาท
อันว่าปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ...สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน 2 คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วยไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง 2 คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าน้ันด้วยปัจจัย 4
ครั้นพ่อลูก 2 คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลกส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มีพระนามว่า มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น ทั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว 7 ประการนี้ สูง 25 โยชน์ จำนวน 7 ชั้น ยาว 9 โยชน์ กว้าง 8 โยชน์
ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็นบ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม
ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ 80 โกฏิ มีปราสาทถึง 3 หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง 3
หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วยพอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า
"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"
พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"
บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยขอวภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ 25 โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้นน้ำได้ถึง 3 โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาทหลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท
มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน
มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะจักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอบพระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้
พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล คนขอทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาดออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความเพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า"
สมัยต่อมาพระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไปด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ 8 หมื่น 4 พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า 1 พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น
แก้ว 7 ประการ
พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแล้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว 7 ประการ คือ จักรแก้ว 1 นางแก้ว 1 แก้วมณีโชติ 1 ช้างแก้ว 1 ม้าแก้ว 1 คหบดีแก้ว 1 ปรินายกแก้ว 1 อันว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น
ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้นเป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี
ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย 12 ประการ
คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง 3 ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ 1 ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ 2 ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ 3 ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง 3 นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ 7 แสนคน
ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย 7 แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร
เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้ง 3 ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ 8 หมื่นปี แล้วจึงเสร็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง 4 ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์
ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจ ดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดาท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย 8 หมื่น 4 พันพระนครก็ดีและชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป
(ต่อ) เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท
ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และมนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่ายพระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารภนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศพร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักรและอานุภาพแห่งพระศรีอาริย์เมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น
ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม่กากะทิง แล้ว ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์กัยเครื่องบริขารทั้ง 8 น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง 8 ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้นกระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ 7 วัน ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกันประจักษ์แจ้งในปฐมยาม
ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือ บรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัยให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้
พระพุทธลักษณะ
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงามตามพระพุทธลักษณะครบถ้วนทุกประการ คือพระองค์มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ 25 ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ (เข่า) มีประมาน 22 ศอก ตั้งแต่พระชานุขึ้นไปถึงพระนาภี (ท้อง) ประมาณ 22 ศอก ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง 2 ประมาณ 22 ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ 22 ศอก เสมอกันทั้ง 4 ส่วน พระรากขวัญทั้ง 2 แต่ละอันนั้นยาวได้ 5 ศอก
อันว่าพระหัตถ์ทั้ง 2 ซ้ายขวานั้น ยาวได้ 40 ศอก ในระหว่างภายในแห่งพระพาหา (แขน) ทั้ง 2 ซ้ายขวานั้นมีประมาณ 25 ศอก พระอังคุลี (นิ้ว) แต่ละอันยาวได้ 5 ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ 5 ศอก พระศอ (คอ) โดยกลมรอบมีประมาณ 5 ศอก โดยยาวก็ 5 ศอก
พระโอษฐ์ (ปาก) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง 10 ศอก เสมอกันเป็นอันดี พระชิวหา (ลิ้น) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว 10 ศอก พระนาสิก (จมูก) สูงยาวลงมาได้ 7 ศอก ดวงพระเนตรทั้ง 2 โดยกว้างได้ 7 ศอก แววพระเนตรทั้ง 2 ข้าง ที่ดำกลมเป็นปริมณฆลอยู่นั้นมีประมาณ 5 ศอก พระขนง (คิ้ว) แต่ละข้างยาวได้ 5 ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง 2 กว้างได้ 4 ศอก พระกรรณ (หู) ทั้ง 2 แต่ละข้างยาวได้ 7 ศอก ดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฆลกลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณกลมได้ 25 ศอก
ต้นไม้ที่จะตรัสรู้
ลำดับนี้...จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น มีปริมณฆลไปได้ 120 ศอก มีกิ่งทั้ง 5 โดยรอบนั้นก็ได้ 120 ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ 240 ศอก โดยสูงสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจกาล ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง 32 ประการ ประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระพุทธรัศมี 6 ประการ สว่างออกจากพระวรกายเป็นอันงามประดุจดังว่าท่อสุวรรณธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายก็ได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลี อันบังเกิดมีมาเองได้ประดับประดาร่างกายและผ้านุ่งผ้าหุ่ม เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข
ปางเมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคเป็นอันงาม ทรงพระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า" ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา "พระธรรมจักกัปปวัตนสูตร" นั้น มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่งบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ ประมาณ 3 แสนโกฏิ
อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์
พระเจ้าสังขจักร
การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสแสดงแก่ พระสารีบุตร มีใจความว่า
อตีเต กาเล...ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัติในเมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว 7 ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว
(ต่อ) พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดาเพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร
เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใดตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้
พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้น มีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามว่าต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้น มีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้
ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า "พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรงนมัสการเจ้าสามเณร
ในทันใดนั้นเอง...พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระองค์มีความเลื่อมใสในคุณพระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ คือดอกบัวก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อไปว่า "พระสังฆรัตนะ" อาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร
เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร" พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอการสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้นได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบลงอยู่ตรงนั้นเอง
ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่าดูก่อน...เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ไหน สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในทิศอุดร คือทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ 16 โยชน์ ครั้นได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อน...สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสร็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น
สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วงใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ
ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทางแต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาททั้งสอง
เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้นพระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อยไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง 4 วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกซ้ำโลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระ (อก) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์เป็นอารมณ์ ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่
ครั้นนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควรทีาตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร
เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็นมานพน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น แล้วสมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย...เราจะขับไป...!
ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน...นายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา
สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย แล้วก็อุตสาหะดำรงทรงพระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงหันหน้ารถไปตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า
ดูก่อน...นายสารถีผู้เจริญ! ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหารหรือ...เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าว ดังนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ...! บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์
(ต่อ) แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น
ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหายมีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน องค์สมเด็จพระชินวรเจ้าจึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้วพระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพารามทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษและอนุพยัญชนะอีก 80 ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย
(ต่อ) อันเสร็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้นพระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้
ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาน้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควรจึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการอภิวาทนมัสการกราบทูลว่า
"ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้วขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด...พระพุทธเจ้าข้า"
สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน...มหาบพิตรผู้ประเสริฐ...! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์เทศนาของพระตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณพระนิพพานนี้เถิด"
ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จพระประทีบแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด
มีคำถามว่า...เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบาลแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด...?
มีคำตอบว่า...สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้าสมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้ เราได้สดับรับรสแห่งอมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้ มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรม พระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้ามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้าออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"
ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม
ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระโพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้งมโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
"ภันเต ภควา...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพาน อันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือ การบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดาจารย์พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเทอญ..."
ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดูก่อน...สารีบุตร! ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรมศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ 88 ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์ พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรนั้น
อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียร ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไหลออกจากพระเศียร
อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนา นั้นด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสร็จไปตามถนนหนทาง ใคร่จะพบองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีกำหนดถึง 7 วัน จึงได้ประสพพบพระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย
ดูก่อน...สารีบุตร! ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเหล่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์" ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
หมายเหตุ : หลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณ ล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ
ศาสนา
มูเตลู
หนังสือ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย