7 ต.ค. 2022 เวลา 06:41 • หนังสือ
อ่านแล้วมาคุยกัน - Toxic Parents หนังสือ 300 กว่าหน้าที่อ่านได้เรื่อยๆ สบายใจ เรื่องหลักเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธ์เป็นพิษระหว่างพ่อแม่กับลูก ซึ่งจริงๆ มันมีหลากหลายแบบ ทั้งที่มองเห็นชัดๆ แบบทำร้ายร่างกาย ดุด่า ไปถึงแบบเนียนหลบจนลูกสับสนว่านี่เป็นความรักความหวังดีหรือความเผด็จการกันแน่ บทท้ายๆ เป็นช่วงถอนพิษ แนะนำวิธีคิดและวิธีการขีดเส้น กำหนดว่าเอ้อไอ้ความพ่อแม่ลูกผูกพันมันมีอยู่ก็จริง แต่จะอยู่กันให้ Healthy นี่ควรมีขอบเขตการข้องแวะ ก้าวก่าย กันถึงตรงไหน
1
toxic parents - Susan Forward with Craig Buck
ชื่อหนังสือ: Toxic Parents มูฟออนชีวิต ถอนพิษพ่อแม่เผด็จการ
ผู้เขียน: Susan Forward และ Craig Buck
Status: อ่านเพิ่งจบสดๆ ร้อนๆ
ความหนา: 349 หน้า
คนเขียนเรื่องนี้เป็นนักจิตบำบัด เล่าเรื่องแบบแบ่งเป็นหัวข้ออ่านง่าย ไล่ลำดับจากปัญหาที่เป็นแบบเปลือกผิว เข้าใจง่าย ค่อยๆ ไต่ไปหาเรื่องกระทบจิตใจ ถ้ามีประสบการร่วมอาจจะมีบางช่วงอ่านไปกลั้นหายใจไปหรือต้องพักบ้าง
ในแต่ละหัวข้อจะมีตัวอย่างเคส ซึ่งคนส่วนมากที่มาขอความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดมักเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน บางทีมาด้วยเรื่องอื่น แล้วค่อยพบว่าต้นตอปัญหามาจากประสบการณ์วัยเด็ก จากการพ่อแม่เป็นพิษนั่นเอง
สิ่งที่ชอบจากเล่มนี้คือคนเขียนเล่าแบบค่อยเป็นค่อยไป ดูเข้าใจว่าการจะมูฟออนจากสิ่งที่เราเชื่อฝังหัวมาตั้งแต่สมัยยังเป็นผ้าขาวไม่ใช่เรื่องง่าย บางช่วงให้กำลังใจ แต่ก็บอกด้วยว่าอย่ามองแต่ด้านดีเกินไปนะ บางแอกชั่นที่เราทำอย่างยืนยันความต้องการกับพ่อแม่ หรือเปิดเผยเรื่องแย่ในครอบครัวให้คนอื่นฟัง ก็อาจมีผลด้านลบตามมา บางทีอาจทำให้ครอบครัวเสียสมดุลจนล้มพังไปเลย หรือดีไม่ดีพ่อแม่อาจตัดขาดเราไปเลยก็ได้เหมือนกัน
ตรงกันข้ามกับ How to ที่ย่นย่อทุกอย่างลงมาเหลือเป็นจำนวนข้อหลักหน่วย แล้วบอกว่าแค่ทำ X ข้อนี้ ตัวคุณเองก็จะไปสู่ความสำเร็จได้อย่างง่ายได้ เล่มนี้บอกไว้เลยว่าการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นบันไดยาวและชัน ควรเตรียมพร้อม ควรฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรหาความช่วยเหลือที่หาได้ ควรให้เวลากับตัวเอง ฯลฯ
1
เออแต่มีอย่างนึงที่จะคิดแว้บๆ เป็นบางช่วงตอนอ่าน คือ นักเขียน เคส สังคม ในหนังสือเป็นอเมริกัน เขาก็จะมีการบอกบ่อยๆ ว่าตัวเราเองสำคัญที่สุด เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยที่ต้องการมีชีวิตของตัวเองที่ไม่ตรงกับความต้องการของพ่อแม่ หรือมีการตัดสินใจของตัวเองที่เป็นคนละแนวทางกับคนอื่น และถึงจุดหนึ่ง ระหว่างพ่อแม่กับเรา...ควรจะเคารพกันในฐานะผู้ใหญ่
อะไรพวกนี้อาจขัดกับบริบทไทยๆ อยู่บ้าง อย่างมีคำพูดนึงได้ยินบ่อยๆ คือ ...ถึงจะโตแค่ไหน ลูกก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่เสมอ... ฟังแบบไม่คิดอาจดูเหมือนยังไงพ่อแม่ก็รักและเอ็นดูเราอยู่เสมอ แต่พอโตมากแล้วยังได้ยินแต่คำพูดแบบนี้อยู่ ซึ่งบางทีมาตอนที่เรากำลังจะต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ แล้วพ่อแม่ไม่เห็นด้วย อยากให้ทำตามพ่อแม่มากกว่า คำพูดแบบนี้ก็ชวนให้คิดต่อว่าจริงๆ แล้วมันหมายความว่ายังไงนะ ความหมายที่ซ่อนอยู่ลึกมากๆ คือ "ยังไงฉันก็ยังมีอำนาจเหนือเธออยู่ดีไปจนกว่าฉันจะตาย" แบบนั้นหรือเปล่า
ในหนังสือบอกเราว่า เด็กๆ เป็นผ้าขาว ยิ่งตอนยังเด็กมากๆ พ่อแม่ยิ่งเป็นมนุษย์สองคนที่เป็นโลกทั้งใบของพวกเขา และโลกใบนั้นก็ปลูกฝังวิธีคิด หล่อหลอม ก่อรูป พฤติกรรมใดๆ แก่เด็กคนนั้นจนโตขึ้นมา เด็กๆ ยังไม่รู้ชัดเจนว่าอะไรถูกผิด ไม่รู้ว่าคำหยอกเย้าร้ายๆ แบบนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ยังไม่ได้สะสมประสบการณ์มากพอที่จะมีตัวเปรียบเทียบ การล่อหลอกต่างๆ เช่นบีบบังคับให้เด็กทำตามตัวเองต้องการโดยอ้างเรื่องความเป็นห่วงหรือความรักจึงเป็นการตั้งใจเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง
แย่ยิ่งกว่านั้นคือบางการเอาเปรียบแนบเนียนเสียจนเด็กๆ ไม่รู้ตัวแม้เมื่อโตขึ้นแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกแค่ความไม่สบายใจ แต่หาต้นเหตุไม่ได้
ประโยคหนึ่งในหนังสือบอกว่า "อะไรที่คุณไม่สามารถส่งคืนเจ้าของได้ คุณจะหาทางส่งต่อแทน" ลูกๆ ของพ่อแม่เป็นพิษบางคนจึงให้เทคนิคการเลี้ยงดูแบบเดียวกันกับลูกตัวเองบ้าง หรือแสวงหาแต่ความสัมพันธ์เป็นพิษอย่างไม่มีวันจบ ซึ่งความจริงแล้วย้อนไปก่อนหน้าพ่อแม่เป็นพิษ ตัวพวกเขาก็อาจเคยเป็นลูกของพ่อแม่เป็นพิษมาก่อนด้วยเหมือนกัน
1
อย่างไรก็ตาม ในหนังสือไม่ได้จบแค่การยกตัวอย่าง อธิบายบอกที่มาเหตุและผล เพื่อให้เห็นใจกัน ปล่อยวาง ให้อภัย แล้วดำเนินชีวิตต่อไปอย่างยอมทน บทท้ายๆ ของเล่มนี้บอกวิธีตัดวงจรนี้ซะ จุดมุ่งหมายไม่ใช่การกลับไปเป็นครอบครัวปรองดองพร้อมหน้า แต่เป็นการที่แต่ละคนได้เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระทางความคิด และเคารพระหว่างกันและกันต่างหาก
คิดว่าสอดคล้องหรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกันเลย กับบทหนึ่งใน The Prophet ของ คาลิล ยิบราน ซึ่งพูดถึงการมีลูกไว้ว่า
"บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้ เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้ แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้น อยู่ในบ้านของพรุ่งนี้ ซึ่งเธอไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้ แม้ในความฝัน
เธออาจพยายามเป็นเหมือนเขาได้ แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลัง หรือห่วงใยอยู่กับเมื่อวันวาน"
โฆษณา