10 ต.ค. 2022 เวลา 04:42 • หุ้น & เศรษฐกิจ
#ทันหุ้นนอกกับKP
🔎[Investment] หุ้น Tesla ร่วงหนักถึง -25% ภายในเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา นี่เป็นวิกฤตหรือโอกาสในการลงทุนในหุ้น Tesla ?
📌ก่อนที่เราจะสามารถตอบได้ว่านี่เป็น “วิกฤต” หรือ “โอกาส” คำถามแรกที่เราต้องตอบให้ได้คือ Tesla กำลังมีปัญหาเรื่อง Demand จริงหรือไม่ ? เพราะการที่ราคาหุ้น Tesla ถูกเทขายลงมาอย่างหนักนั้น ก็เริ่มมาจากข่าวที่ยอดส่งมอบรถของ Tesla ออกมาต่ำกว่าที่คาดในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จนทำให้นักลงทุนกังวลว่ารถ Tesla อาจจะไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากทางบริษัทก็ไม่ได้มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆออกมาเพิ่ม
เราลงมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องนี้กันเลยครับ
╔════════════╗
ใครสนใจศึกษาหุ้น Tesla เพิ่มเติม หรือ หุ้นต่างประเทศ ธุรกิจนวัตกรรมเจ๋งๆ สามารถร่วมกลุ่ม Private Group ใน Line ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย รายละเอียดในคอมเม้นต์
╚════════════╝
📌ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีข่าวว่า Demand การซื้อรถ EV ในพื้นที่ต่างๆลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Demand ของ Tesla ในประเทศจีน โดยมีหลักฐานสนับสนุนคือ ระยะเวลาการจองซื้อก่อนจะได้รับรถ(Delivery Waited time) ที่ลดลงจาก 14 สัปดาห์ในช่วงมิถุนายน เป็น 1-4 สัปดาห์ในช่วงกันยายน ประกอบกับความกลัวว่าเศรษฐกิจหลายประเทศจะถดถอย เรามาพิจารณาดูกันว่า Tesla กำลังมีปัญหาเรื่อง Demand จริงไหม
📌Tesla มีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ที่จะการันตีได้ว่า ยังมีความต้องการซื้อ(Demand)จำนวนมากไปอีกนาน โดย 3 ข้อแรกเป็นระยะสั้น(3-12 เดือน) และข้อ 4-6 เป็นระยะยาว(1-5 ปีขึ้นไป) ดังนี้
1️⃣ Tesla เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)ในระดับสูงสุดของอุตสาหกรรม ที่ประมาณ 28% และ 14% ตามลำดับ ซึ่งทำให้หากมีสัญญาณกำลังซื้อลดลง Tesla ก็สามารถลดราคาขายลดเล็กน้อย เพื่อเพิ่ม Demand โดยที่จะยังคงมีอัตราส่วนกำไรดีกว่าบริษัทผู้ผลิตรถส่วนใหญ่ในตลาด(ที่มี GPM ประมาณ 18% และ NPM ประมาณ 7%)
โดยต้องไม่ลืมว่า การปรับลงราคาเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลให้ Demand ปรับขึ้นจำนวนมากได้ (ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง) เช่น หากปรับลดราคาลง 5% มีความเป็นไปได้สูงที่ Demand จะเพิ่มขึ้นเกิน 5%
2️⃣ เรื่อง Demand ในจีนที่ดูเหมือนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เกิดจากปัจจัยหลัก 2 ประเด็น คือ
a. ผู้บริโภคมีความคิดว่า Tesla กำลังจะปรับลดราคารถยนต์ลง (เพื่อให้รุ่นแพง ยังเข้าเกณฑ์สนับสนุนทางภาษีของภาครัฐอยู่) ทำให้ผู้บริโภคเกิดชะลอการซื้อชั่วคราวได้
b. Tesla มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างสูง ประกอบกับ เดิมในไตรมาส 2 มีการปิดโรงงาน ทำให้ Wait time เพิ่มขึ้นสูงในช่วงดังกล่าว
3️⃣ เรื่องยอดการส่งมอบรถยนต์(Delivery) น้อยกว่ายอดการผลิตรถยนต์(Production) จนทำให้หลายฝ่ายคิดว่า ผลิตแล้วขายไม่หมด แต่จริงๆแล้ว สิ่งนี้เป็นผลสอดคล้องกับที่ Elon Musk เคยประกาศไว้หลายเดือนก่อน ว่า Tesla อยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งส่งมอบรถ(เพื่อทำตัวเลขงบการเงินให้ดี)เหมือนแต่ก่อน
โดยการรีบส่งมอบรถในช่วงปลายไตรมาสนั้น มักแลกมากับต้นทุนการขนส่งที่สูง และยังอาจทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การซื้อที่ไม่ค่อยดีด้วย ดังนั้น ยอดการผลิตที่มากกว่าของไตรมาส 3 นี้ก็จะไปทบเป็นแต้มต่อให้กับยอดส่งมอบในไตรมาส 4
1
4️⃣ ถัดมาในระยะกลางถึงยาวนั้น หลายประเทศมีกฏหมายช่วยเหลือ/ลดหย่อนภาษีให้กับ EV โดยขอยกตัวอย่างที่สำคัญ เช่น ในสหรัฐ การผ่านร่างกฏหมาย Inflation Reduction Act ที่มีการสนับสนุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม/EV จำนวนมาก อาจส่งผลทางอ้อมให้ผู้คนในสหรัฐชะลอการซื้อ EV ไปในปีหน้า
แต่กฏหมายนี้ในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อ Tesla มหาศาล เพราะการสนับสนุนทางภาษีถึง 7500$ ต่อคัน(ไม่รวมการสนับสนุนของส่วนที่ Tesla จะได้รับจากการผลิตแบตตามเงื่อนไขที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมอีก) จะทำให้อุตสาหกรรม EV ในสหรัฐขยายตัวรวดเร็วมากไปอีกหลายปี และแน่นอนว่า Tesla ก็เป็นผู้นำตลาด EV ในสหรัฐ(ครองส่วนแบ่งตลาด 70% ของ 1H2022) ทำให้ Tesla น่าจะเป็นบริษัทที่ได้ผลประโยชน์ของร่างกฏหมายนี้มากกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น
5️⃣ สำหรับมุมมองที่กว้างขึ้นมาในระยะยาว โลกของเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบสันดาปไปสู่ EV (ซึ่งตัวผลักดันหลักเกิดจาก ต้นทุนที่ลดลงของแบตเตอรี่) โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สัดส่วนการขายรถยนต์ EV/รถยนต์ทั้งหมดเป็นกว่า 10% แล้ว(จากปีก่อนที่โลกเรามีการขายรถ EV ประมาณ 5%ของการขายรถยนต์ทั้งหมด)
โดยแนวโน้มนี้มีแต่จะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถึงแม้ Tesla จะมีคู่แข่งจำนวนมาก ทั้ง Startup EV รายใหม่ หรือเจ้าตลาดเดิม(Traditional OEM) แต่สิ่งนี้ไม่น่าทำให้ยอดขาย Tesla ตกลงได้ (เปรียบเหมือนเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งการตลาดอาจลดลงได้ แต่เนื่องจากตลาดเติบโตเร็วมาก ทำให้ยอดขาย EV ของแต่ละแบรนด์ยังโตได้อีกมาก)
6️⃣ Tesla มีนวัตกรรมที่เหนือกว่า และการประหยัดเชิงขนาด(Economies of Scale)มากกว่า ทำให้สินค้าเกิด Value Proposition ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะที่เหนือกว่า ความปลอดภัยของรถยนต์ที่สูงมาก(โมเดล Y ได้รับคะแนนสูงสุดจาก Euro NCAP) รวมทั้งเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่/ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ(FSD) เหล่านี้จะยิ่งเสริมให้ Value Proposition ดีขึ้น หรือเป็นปราการป้องกัน(Moat) ไม่ได้ Tesla สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดเมื่อการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
📌โดยสรุปจะเห็นว่า ในระยะสั้นหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมา และกำลังซื้อหดหายไปในหลายภาคส่วน แต่สิ่งนี้อาจจะกระทบต่อ Demand แค่ในระยะสั้นเป็นการชั่วคราว และเพียงบางประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ Tesla ยังอยู่ในจุดที่สามารถปรับตัว รับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยได้ดีที่สุดในอุตสาหกรรม ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีหนี้น้อย และมีกำไร/กระแสเงินสดเยอะ ทำให้เชื่อได้ว่า การเติบโตของ Tesla ยังคงถูกจำกัดด้วยกำลังการผลิต(Supply) โดยยังไม่ต้องกังวลเรื่อง Demand ไปอีกหลายปี
📌 ทุกวันนี้คนไทยสามารถเข้าไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศรายตัวอย่าง Tesla ได้อย่างง่ายดายมากขึ้นแล้ว เพียงแค่มีพอร์ตหุ้นไทยเราก็สามารถเข้าไปซื้อหุ้นต่างประเทศ ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ชื่อว่า DRx ได้
และตอนนี้ DRx ของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีการเติบโตสูงและเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกอย่าง Tesla และ Apple ก็กำลังเปิดให้เริ่มซื้อขายผ่านแอป Streaming โดยตรงได้แล้ว (โค้ด TSLA80X และ AAPL80X)
DRx ลงทุนง่าย / ซื้อขายหุ้นแบบ Realtime ไปพร้อมกับตลาดต่างประเทศ /ซื้อง่ายและขายคล่องด้วยเงินบาท โดยที่ไม่ต้องแลกเงิน / ไม่มีค่าซื้อขั้นต่ำ เและสามารถซื้อเป็นเศษส่วนหุ้นก็ยังได้
Trader KP ได้สรุปความน่าสนใจของ 2 บริษัทนี้และแนะนำข้อดีของ DRx ในบทความก่อน ลองเข้าไปดูได้ที่ link ในคอมเม้นท์เลยครับ
และอย่าลืมนะครับว่า ***ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน***
✅ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
#TraderKP #ทันโลกกับTradeKP #ทันหุ้นนอกกับKP #DRx #Tesla #Apple #ลงทุน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา