🔎[Investment] หุ้น Tesla ร่วงหนักถึง -25% ภายในเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา นี่เป็นวิกฤตหรือโอกาสในการลงทุนในหุ้น Tesla ?
📌ก่อนที่เราจะสามารถตอบได้ว่านี่เป็น “วิกฤต” หรือ “โอกาส” คำถามแรกที่เราต้องตอบให้ได้คือ Tesla กำลังมีปัญหาเรื่อง Demand จริงหรือไม่ ? เพราะการที่ราคาหุ้น Tesla ถูกเทขายลงมาอย่างหนักนั้น ก็เริ่มมาจากข่าวที่ยอดส่งมอบรถของ Tesla ออกมาต่ำกว่าที่คาดในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จนทำให้นักลงทุนกังวลว่ารถ Tesla อาจจะไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากทางบริษัทก็ไม่ได้มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆออกมาเพิ่ม
เราลงมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องนี้กันเลยครับ
╔════════════╗
ใครสนใจศึกษาหุ้น Tesla เพิ่มเติม หรือ หุ้นต่างประเทศ ธุรกิจนวัตกรรมเจ๋งๆ สามารถร่วมกลุ่ม Private Group ใน Line ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย รายละเอียดในคอมเม้นต์
╚════════════╝
📌ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มมีข่าวว่า Demand การซื้อรถ EV ในพื้นที่ต่างๆลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Demand ของ Tesla ในประเทศจีน โดยมีหลักฐานสนับสนุนคือ ระยะเวลาการจองซื้อก่อนจะได้รับรถ(Delivery Waited time) ที่ลดลงจาก 14 สัปดาห์ในช่วงมิถุนายน เป็น 1-4 สัปดาห์ในช่วงกันยายน ประกอบกับความกลัวว่าเศรษฐกิจหลายประเทศจะถดถอย เรามาพิจารณาดูกันว่า Tesla กำลังมีปัญหาเรื่อง Demand จริงไหม
a. ผู้บริโภคมีความคิดว่า Tesla กำลังจะปรับลดราคารถยนต์ลง (เพื่อให้รุ่นแพง ยังเข้าเกณฑ์สนับสนุนทางภาษีของภาครัฐอยู่) ทำให้ผู้บริโภคเกิดชะลอการซื้อชั่วคราวได้
b. Tesla มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างสูง ประกอบกับ เดิมในไตรมาส 2 มีการปิดโรงงาน ทำให้ Wait time เพิ่มขึ้นสูงในช่วงดังกล่าว
4️⃣ ถัดมาในระยะกลางถึงยาวนั้น หลายประเทศมีกฏหมายช่วยเหลือ/ลดหย่อนภาษีให้กับ EV โดยขอยกตัวอย่างที่สำคัญ เช่น ในสหรัฐ การผ่านร่างกฏหมาย Inflation Reduction Act ที่มีการสนับสนุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม/EV จำนวนมาก อาจส่งผลทางอ้อมให้ผู้คนในสหรัฐชะลอการซื้อ EV ไปในปีหน้า
แต่กฏหมายนี้ในระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อ Tesla มหาศาล เพราะการสนับสนุนทางภาษีถึง 7500$ ต่อคัน(ไม่รวมการสนับสนุนของส่วนที่ Tesla จะได้รับจากการผลิตแบตตามเงื่อนไขที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมอีก) จะทำให้อุตสาหกรรม EV ในสหรัฐขยายตัวรวดเร็วมากไปอีกหลายปี และแน่นอนว่า Tesla ก็เป็นผู้นำตลาด EV ในสหรัฐ(ครองส่วนแบ่งตลาด 70% ของ 1H2022) ทำให้ Tesla น่าจะเป็นบริษัทที่ได้ผลประโยชน์ของร่างกฏหมายนี้มากกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น
5️⃣ สำหรับมุมมองที่กว้างขึ้นมาในระยะยาว โลกของเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบสันดาปไปสู่ EV (ซึ่งตัวผลักดันหลักเกิดจาก ต้นทุนที่ลดลงของแบตเตอรี่) โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สัดส่วนการขายรถยนต์ EV/รถยนต์ทั้งหมดเป็นกว่า 10% แล้ว(จากปีก่อนที่โลกเรามีการขายรถ EV ประมาณ 5%ของการขายรถยนต์ทั้งหมด)
โดยแนวโน้มนี้มีแต่จะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถึงแม้ Tesla จะมีคู่แข่งจำนวนมาก ทั้ง Startup EV รายใหม่ หรือเจ้าตลาดเดิม(Traditional OEM) แต่สิ่งนี้ไม่น่าทำให้ยอดขาย Tesla ตกลงได้ (เปรียบเหมือนเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งการตลาดอาจลดลงได้ แต่เนื่องจากตลาดเติบโตเร็วมาก ทำให้ยอดขาย EV ของแต่ละแบรนด์ยังโตได้อีกมาก)
6️⃣ Tesla มีนวัตกรรมที่เหนือกว่า และการประหยัดเชิงขนาด(Economies of Scale)มากกว่า ทำให้สินค้าเกิด Value Proposition ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะที่เหนือกว่า ความปลอดภัยของรถยนต์ที่สูงมาก(โมเดล Y ได้รับคะแนนสูงสุดจาก Euro NCAP) รวมทั้งเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่/ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ(FSD) เหล่านี้จะยิ่งเสริมให้ Value Proposition ดีขึ้น หรือเป็นปราการป้องกัน(Moat) ไม่ได้ Tesla สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดเมื่อการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น