10 ต.ค. 2022 เวลา 09:31 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่า ตำนานเทพกรีก ตอน กำเนิดมนุษย์ยุคแรก และหลังน้ำท่วมโลก
ยุคแรก
หลังจากที่จบสิ้นสงครามไททันของเหล่าเทพเจ้าแล้ว
เมื่อท่านมหาเทพซุสได้หยุดพักจนผ่อนคลายหายเหนื่อยแล้ว ท่านก็ไม่รู้จะทำอะไร นั่งไปนอนมา แปลงกายไปเที่ยวจนทั่วแล้วก็ยังเกิดความรู้สึกเหงา
ทำยังไงก็ไม่หายเหงาสักที
วันหนึ่งท่านเทพซุส จึงผุดไอเดียขึ้นมา แล้วเดินทางไปหาเพื่อนรัก คือท่านเทพโพรมีเทียส เล่าแผนการณ์ให้ฟังว่า อยากสร้างอะไรที่สนุก ๆ เล่นคลายเหงา ท่านเทพโพรมีเทียสเพื่อนรักก็เออออตามใจ
เห็นว่าท่านเทพซูสอยากเล่นอะไรก็จะยอมเล่นเป็นเพื่อนด้วย
เพื่อให้เทพซูสมีความสุข เพื่อนรักอย่างเขาทำได้อยู่แล้ว
ท่านเทพซูสจึงเล่าให้ท่านเทพโพรมีเทียสฟังว่า
"สมมุติว่า ข้าจะสร้างชนชาติใหม่ขึ้นมา เผ่าพันธุ์หนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนพวกเราทุกอย่าง ตัวตรง ยืนสองขา"
"มีหัวเดียวหรือ"
"ใช่ มีหัวเดียว มีสองมือเหมือนเราทุกอย่าง และพวกเขาจะมี เอิ่ม ส่วนที่เหมือนเราที่ทำให้เราอยู่เหนือสรรพสัตว์น่ะ"
"สองมือ "
1
"ไม่ใช่ เป็นส่วนที่บอกว่าเรามีตัวตนทำให้เราตระหนักถึงตัวเราเอง"
1
"ความรู้สึกตัว"
1
"นั่นแหละ สิ่งมีชีวิตพวกนี้จะมีความรู้สึกตัว และภาษาพวกเขาจะไม่เป็นอันตรายต่อเราแน่นอน พวกเขาจะอาศัยอยู่บนพื้นโลก ใช้สติปัญญา ทำไร่ ทำนา หาอาหาร และปกป้องตัวเอง"
"ท่านว่าเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่เหมือนเราหรือ"
"ถูกต้อง และท่านก็ต้องเป็นผู้ช่วยเราสร้างด้วย ให้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเรา"
"ผลงานสร้างสรรค์ของเราหรือ"
"เจ้าชำนาญงานประดิษฐ์นี่"
"ก็ได้ ข้าจะช่วยท่านสร้างเอง"
ท่านเทพทั้งสองพระองค์จึงออกเดินทางไปหาดินเหนียวที่ดีที่สุดเพื่อนำมาปั้นเป็นมนุษย์
ท่านเทพทั้งสองพระองค์เดินทางเสาะหาแหล่งที่มีดินเหนียว ที่ดีที่สุดจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งโพรมีเทียสประกาศว่า
"เป็นบริเวณที่สมบูรณ์แบบ แม่น้ำที่มีชายฝั่งเต็มไปด้วยโคลนและแร่ธาตุที่ต้องการ เพื่อให้ดินเหนียวสม่ำเสมอกัน เนื้อดินละเอียดมีความทนทาน และสีสันสวยงาม"
ปล. แหล่งข้อมูลยุคเก่า ๆ เช่นนักเดินทางพอเซเนียส (Pausanias) นายศตวรรษที่ 2 อ้างว่า พาโนเพียส (Panopeus) ในโฟซิส (Phocis) เป็นแหล่งดินเหนียวที่กล่าวถึง
นักปราชญ์ในเวลาต่อมากล่าวว่า ทั้งคู่ทรงเดินทางไปทางตะวันออกของเอเชียไมเนอร์ลงไปยังแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่ 'ระหว่างแม่น้ำ' ไทกริสและยูเฟรทีส (ในภาษากรีก 'ระหว่างแม่น้ำ' เรียกว่า 'เมโสโปเตเมีย' (Mesopotamia )
แหล่งความรู้ล่าสุดบอกว่าทั้งสองพระองค์เดินทางไปหาดินเหนียวโดยผ่านไนลัส ข้ามเส้นศูนย์สูตร ไปสิ้นสุดที่แอฟริกาตะวันออก : ข้อมูลอ้างอิงจาก เล่าขานตำนานเทพกรีก โดย สตีเฟน ฟราย
โดยท่านเทพโพรมีเทียสเป็นผู้ปั้นดินเหนียวเองกับมือ เทพซูสให้น้ำลาย เทพีอะทีนาให้ลมหายใจ แล้วมนุษย์ตัวเล็กจิ๋ว ๆ ก็ถือกำเนิดเกิดมา
ในตอนแรกนั้น มนุษย์มีหลากหลายสีผิว
สีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน สีดำ สีน้ำตาล สีงาช้าง สีเหลือง สีแดง
2
แต่ด้วยความที่เทพซูสไม่ทันระวัง ท่านจึงเดินเหยียบหุ่นมนุษย์ที่ปั้นเป็นสีม่วง สีเขียว สีน้ำเงิน หักบิ่น เสียหาย ใช้งานไม่ได้
"ข้าอยากให้พวกมันบูชาข้า เคารพข้า ก้มหัวให้ข้า" เทพซูสกล่าว
"ท่านอย่าเสียงดังไปสิ พวกมันกลัวท่านกันใหญ่แล้วมหาเทพ"
"ดี ๆ ข้าชอบ"
"ข้าอยากให้พวกเขาเป็นเพื่อน เราเท่าเทียมกัน ข้าจะสอนให้พวกเขารู้จักทำไร่ไถนาปลูกข้าวสาลีและพวกเขาจะได้ทำขนมปังและข้าจะสอนการทำอาหารและเครื่องมือแล้วก็..
ยังไม่ทันที่เทพโพรมีเทียสพูดจบ เทพซูสก็ขัดขึ้นเสียก่อนว่า
"ไม่ได้ ท่านจะรักพวกมันยังไงก็ได้โพรมีเทียส แต่ห้ามให้ไฟกับพวกมันเด็ดขาด"
"แต่ ทำไมละ"
"ถ้าพวกเขามีไฟ พวกเขาจะลุกขึ้นมาต่อต้านเรา ถ้ามีไฟพวกเขาจะคิดว่าเท่าเทียมกับเรา ข้ารู้สึกได้และข้ารู้ด้วยว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้รับไฟ ข้าสั่งแล้วนะ"
อะทีนาที่กำลังตื่นเต้นกับของเล่นชิ้นใหม่ของพระบิดา ถามขึ้นมาว่า
"เราจะเรียกพวกเขาว่าอะไรดี"
"แอนโทรพอส (Anthropos) หมายถึง ผู้ชาย
แล้วท่านมหาเทพ ก็ทรงสั่งให้โพรมีเทียสปั้นมนุษย์ขึ้นมาเพิ่มอีกเป็นร้อย เป็นพัน กลายเป็นฝูงชน มหาศาล ต่างกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปหาที่อยู่อาศัย ออกเดินทางไปทุกหนทุกแห่งบนโลก
*อาจกล่าวได้ว่า ไกอา ซูส อะพอลโล และอะทีนา ตลอดจนโพรมีเทียสเป็นบรรพบุรุษ เป็นผู้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติจากธาตุทั้ง 4 ได้แก่
ดิน จากพระแม่ธรณี (ไกอา)
น้ำ จากน้ำลายของเทพซูส
ไฟ แสงพระอาทิตย์ของ เทพอะพอลโล
ลม ลมหายใจของเทพีอะทีนา
1
และในตอนแรก มนุษย์ก็มีแต่ผู้ชาย และต่างก็วิ่งเล่นกันสนุกสนาน สร้างความบันเทิงใจให้กับเหล่าเทพเจ้าบนโอลิมปัสได้หยอกล้อเล่น เป็นที่น่าพอใจของท่านเทพซูสเป็นอย่างมาก
1
แล้วท่านก็สร้างสรรพสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นมาด้วย
ทั้งหมดท่านเทพซูสมอบให้เทพโพรมีเทียส และเทพองค์น้องชื่อเอพิเมเทียส ช่วยกันดูแล
ซึ่งท่านเทพไททันทั้งสองพระองค์ชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับมนุษย์มากกว่าอยู่กับเหล่าเทพด้วยกัน โดยเทพเอพิเมเทียส เป็นผู้มอบคุณลักษณะต่าง ๆ
เทพโพรมีเทียส เป็นผู้ตรวจงาน
ในขณะที่โพรมีเทียสออกไปสอนให้มนุษย์รู้จักการใช้ชีวิตนั้น เอพิเมเทียส ก็ได้แจกแจงคุณลักษณะพิเศษให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ อย่างถ้วนหน้า
ท่านได้ให้เกราะป้องกันตัวแก่สัตว์บางจำพวกเช่น แร่ด ลิ่น อาร์มาดิลโล
ท่านได้ให้เครื่องป้องกันดินฟ้าอากาศแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ขนนุ่มยาว ลายพราง มีพิษขนนก เขี้ยว กรงเล็บ เกล็ดเหงือก ปีก เครา และลักษณะที่ดีอื่น ๆ
ท่านได้ให้ความรวดเร็วและความดุร้าย การลอยตัวในน้ำ และการบินในอากาศได้
สัตว์ทุกชนิดได้คุณลักษณะที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพทั้งทักษะการหาทิศทาง ความเชี่ยวชาญในการหลบซ่อน การสร้างรัง การว่ายน้ำ การกระโดดหรือการร้อง
ให้ความสามารถในการหาทิศทางด้วยการส่งเสียงสะท้อนแก่ค้างคาวและโลมา
ในขณะที่ท่านกำลังภูมิใจในผลงานของตัวเองอยู่นั้น ท่านก็เพิ่งรู้ตัวว่าได้มอบคุณลักษณะสุดท้ายที่มีให้กับบรรดาสรรพสัตว์ไปหมดแล้ว
ด้วยความไม่รอบคอบ เอพิมีเทียสจึงไม่เหลือคุณสมบัติลักษณะพิเศษใด ๆ ที่จะมอบให้แก่มนุษย์ผู้น่าสงสารเลย
เมื่อโพรมีเทียสกลับมา ก็พบว่ามนุษย์ผู้น่าสงสาร เปลือยเปล่า มีสองแขน สองขา ผิวบอบบาง ที่มีรูปร่างคล้ายดั่งเทพ และท่านก็รักมนุษย์ที่ท่านปั้นมากับมือเป็นอย่างมาก
แต่ไม่เหลือลักษณะพิเศษอะไรไปถึงมนุษย์เลย
หากเป็นเช่นนี้ มนุษย์ต้องสูญพันธุ์แน่ เพราะไม่อาจต่อสู้ ป้องกันตัวเองจากสัตว์ต่าง ๆ ได้เลย
ท่านจึงคิดว่า มนุษย์สมควรได้รับสิ่งที่พิเศษกว่าสัตว์พวกนั้น
ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มองการณ์ไกล
ท่านจึงไปขโมยไฟจากเทพฮีเฟสตุส
และปัญญาจากเทพีอะทีนามาให้มนุษย์
ด้วยสองสิ่งนี้มนุษย์สามารถใช้ปัญญาปฏิภาณและความพากเพียรต่อสู้กับสัตว์ได้
มนุษย์อาจว่ายน้ำได้ไม่เก่งเท่าปลาแต่พวกเขาจะคิดหาทางสร้างเรือได้
หรืออาจวิ่งได้ไม่เร็วเท่าม้าแต่ก็รู้วิธีฝึกมันให้เชื่องทำเกือกให้มันและขี่มันได้
สักวันหนึ่งมนุษย์อาจทำได้แม้แต่สร้างปีกขึ้นมาบินแข่งกับนกทีเดียว
แม้มนุษย์ไม่อาจสู้กับเหล่าเทพเจ้าได้ แต่มนุษย์สามารถต่อกรกับเหล่าสัตว์ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์แบบกว่าตนได้
ท่านเทพไททันทั้งสองพี่น้องนั้น มีนิสัยแตกต่างกันมาก
เทพองค์พี่ โพรมีเทียส หมายถึง คิดล่วงหน้า คิด วางแผนก่อนลงมือทำ มองการณ์ไกล
ในหนังสือประวัติปรัชญาตะวันตก (History of Western Philosophy) โดย เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ กล่าวไว้ว่า
"มนุษย์ผู้เจริญแตกต่างอย่างชัดเจนจากคนเถื่อน ตรงที่มีความรอบคอบ หรือใช้คำที่มีความหมายกว้างขึ้นสักหน่อยก็คือ 'คิดล่วงหน้า'
พวกเขายินดีทนต่อความเจ็บปวดในปัจจุบัน เพื่อผลอันน่าพึงพอใจในอนาคต"
เทพองค์น้อง เอพิเมเทียส หมายถึง คิดภายหลัง (ไม่รอบคอบ)
จนเมื่อเทพซูสต้องการแก้แค้นเทพโพรมีเทียสจึงสร้างมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมา คือแพนดอร่า มนุษย์ผู้หญิงคนแรกมาให้แต่งงานกับเอพิเมเทียส และทั้งสองมีลูกด้วยกันเจ็ดคน มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อว่า พีร์รา (Pyrrha)
ส่วนเทพโพรมีเทียส ก็มีภรรยาเป็นนางพรายและมีลูกชาย ชื่อว่า ดิวคาเลียน (Deucalion)
พีร์รา และดิวคาเลียนได้แต่งงานกัน
และในระหว่างนั้น โพรมีเทียสท่านเองก็ได้ตระหนักดีว่า ซูสไม่มีทางลืมความเจ็บแค้นในอดีตได้ สักวันซูสต้องกลับมาเอาคืนแน่นอน ท่านจึงสอนให้ดิวคาเลียน เตรียมรับมือกับการแก้แค้นของเหล่าเทพเจ้า ท่านถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้แก่เขามากมาย และได้บอกให้เขาสานหีบไม้ยักษ์ไว้ใบหนึ่ง และเก็บข้าวของที่จำเป็นลงในนั้น
ท่านเทพซูสรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้ง ที่มองลงมาแล้วเห็นเปลวไฟบนโลก ท่านรู้ว่ามนุษย์กำลังท้าทายอำนาจของท่าน
ท่านเทพซูสถึงจะอยากแก้แค้นเพื่อนรัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านเองก็รักมนุษย์
เมื่อเห็นว่าเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ท่านสร้างขึ้นมานั้น แทนที่จะน่ารักเหมือนตอนแรกที่ท่านกับเทพโพรมีเทียสช่วยกันสร้างนั้น กลับไม่ใช่เลย พวกมันบางส่วนกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ารังเกียจ กินได้แม้กระทั่งลูกของตัวเอง
เมื่อมีมนุษย์คนหนึ่ง ชื่อว่า ไลเคียน ( Lycaon) ราชาแห่งอาเคเดียร์ ได้สังหารบุตรชายคนที่ 50 ของตัวเอง ชื่อว่า นิกทิมุส และนำเนื้อมาย่างเป็นเครื่องสังเวยถวายต่อองค์เทพซูส
ซูสสุดจะทนกับการกระทำที่หยาบช้าป่าเถื่อนของมนุษย์ผู้นี้ยิ่งนัก จึงสาปให้ไลเคียนเป็นหมาป่า และชุบชีวิตนิกทิมุสขึ้นมาเพื่อครองบัลลังก์แทนพระบิดา
แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นสงคราม เมื่อพวกเขาฆ่ากันเองระหว่างพี่น้องอีก 49 คน เพื่อแย่งชิงบัลลังก์กัน
1
ยิ่งทำให้ท่านมหาเทพซูสสังเวชใจกับความโหดร้าย ป่าเถื่อน พฤติกรรมอันน่ารังเกียจนี้
ท่านเบื่อที่จะเล่นแล้ว และด้วยความที่ยังอยากแก้แค้นเพื่อนรัก ท่านจึงตัดสินใจปิดฉากมนุษยชาติ ปล่อยน้ำให้ท่วมโลก เพื่อทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสร้างขึ้นมา
เมื่อเกิดน้ำท่วมดิวคาเลียนและพีร์ราก็เข้าไปอยู่ในหีบไม้ยักษ์ใบนั้น
น้ำท่วมในครั้งนั้นได้ชำระล้างทุกสิ่ง ตามประสงค์ของท่านมหาเทพซูสผู้ยิ่งใหญ่
แล้วท่านก็มาชำระแค้นเป็นการส่วนตัวกับเพื่อนรักของท่าน
ด้วยการจับไปทรมาน สาปให้โพรมีเทียสโดนตรึงไว้ที่ภูเขา แล้วให้นกแร้งจิกกินตับทุกวัน
(ตอนแรกซูสให้นกอินทรีจิก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ให้นกแร้งจิกแทน เพื่อความสะใจ ว่านกอินทรีดูสูงค่าเกินไปสำหรับเพื่อนรักที่ทรยศเทพเจ้า ไปหลงรักเอ็นดูมนุษย์)
พอตกกลางคืนตับก็งอกขึ้นมาใหม่ แล้วนกแร้งมาจิกกินอีก เป็นอยู่อย่างนี้นานแสนนาน นานจึงถึงวันที่คำสาปได้รับการปลดปล่อยจากวีรบุรุษ ผู้มีนามว่า เฮอร์คิวลิส
(ถ้าใครเคยดู หรืออ่านเรื่องราวของเฮอร์คิวลิส น่าจะจำฉากนี้ได้)
ผ่านไป 9 วัน
ทั้งสองจึงรอดชีวิตมาได้ และพบว่าอยู่บนยอดภูเขาพาร์นัสซุส
ในบทประพันธ์ของโอวิด ได้กล่าวไว้
ส่วนแหล่งอื่นอ้างอิงว่าเป็นยอดเขาเอตนา และยอดเขาอาทอส
ประมาณเวลาเดียวกันกับที่เรือของโนอาเกยตื้นที่ยอดเขาอะรารัต
นักโบราณคดียินยันว่า น้ำท่วมใหญ่นี้เกิดขึ้นจริง : เครดิต เล่าขานตำนานเทพกรีก
ตอน กำเนิดมนุษย์หลังน้ำท่วมโลก
เมื่อน้ำแห้งพอที่ดิวคาเลียนและพีร์ราจะเดินทางลงจากยอดภูเขาได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองคนก็พากันตรงไปที่วิหารเดลฟีที่ตั้งอยู่ ณ หุบเขาเบื้องล่างของภูเขาพาร์นัสซุส และได้เข้าไปขอคำปรึกษากับเทพนักพยากรณ์แห่งทีมิส ซึ่งเป็นไททันเนสผู้มีคุณลักษณะพิเศษที่ล่วงรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อไป
เทพแห่งนักพยากรณ์บอกพวกเขาว่า
"บุตรแห่งโพรมีเทียสและเอพิเมเทียสจงฟังข้า และทำตามคำสั่งข้า เจ้าจงคลุมศีรษะของเจ้า แล้วโยนกระดูกของมารดาเจ้าข้ามไปทางด้านหลังของตัวเจ้า"
จากนั้นนางก็ไม่กล่าวอะไรอีกเลย
เมื่อพีร์ราและดิวคาเลียนได้ฟังต่างก็มองหน้ากันด้วยหมดสิ้นหนทาง
"แม่ของข้าคือแพนดอรา ข้าคิดว่าตอนนี้นางคงถูกน้ำท่วมตายไปแล้ว เราจะไปหากระดูกของนางมาได้จากที่ใด"
พีร์รากล่าวกับสามีของเธอ
"แม่ของข้าคือคลีเมนี หรืออาจเป็นนางพรายโอเซียนีด ชื่อ เฮซิโอนี ท่านทั้งคู่เป็นอมตะและยังมีชีวิตอยู่ และคงไม่สละกระดูกของพวกนางให้เราแน่นอน เราคงต้องคิดหาทางอื่น"
ดิวคาเลียนกล่าวกับภรรยาของเขาอย่างสิ้นหวังเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็คลุมผ้าที่ศีรษะของตน แล้วต่างก็ครุ่นคิดกับปริศนานั้น
"กระดูกแม่ของเรา จะตีความเป็นอย่างอื่นได้บ้างไหมนะ กระดูกของแม่ คิดสิ คิด"
ดิวคาเลียนครุ่นคิดจนหน้านิ่วคิ้วขมวด มือควานไปรอบ ๆ ตัว หยิบก้อนหินมาได้ก้อนหนึ่งจึงขว้างออกไปเพื่อคลายความเครียด
ทันใดนั้น พีร์ราคว้าแขนสามีเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
"แม่ของเรา"
ทำให้ดิวคาเลียนหยุดมองหน้าเธอ
1
"ใช่ กระดูกแม่ของเรา"
พีร์ราตบฝ่ามือของเธอลงที่พื้นดิน ใบหน้ามีรอยยิ้ม ดวงตาเริ่มส่องแสงแห่งความหวัง
"แม่ของเรา 'ไกอา' คือแม่ของเราทุกคน"
เธอหยิบก้อนหินขึ้นมา
"พระแม่ธรณีคือแม่ของพวกเรา ก่อนหินนี่ไงท่านพี่ นี่คือกระดูกของแม่"
แล้วทั้งสองก็ช่วยกันคุ้ยหาก่อนหินไปทั่วท้องทุ่งเดลฟี โยนหินข้ามไหล่ตัวเองกลับไปด้านหลัง โดยไม่ได้หันกลับไปดู เป็นระยะทางประมาณ 225 เมตร
เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองก็พบว่า จากพื้นดินที่พีร์ราโยนก้อนหินลงไปนั้น
มีผู้หญิง ทั้งเด็กเล็ก เด็กโตหลายร้อยคน รูปร่างสมบูรณ์ สุขภาพดี กำลังยิ้มแย้มเดินตามเธอมา
ส่วนก้อนหินที่ดิวคาเลียนโยนไปตกนั้น มีเด็กผู้ชาย และชายฉกรรจ์ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน
สตีเฟน ฟราย ได้กล่าวไว้ในหนังสือ เล่าขานตำนานเทพกรีกไว้ว่า
"นั่นหมายความว่า ชาวเพลาสเจียน ยุคเก่า ได้จมน้ำตายสิ้นแล้ว ในครั้งที่น้ำท่วมโลก และโลกเมดิเตอร์เรเนียนได้สร้างประชากรโลกชาติพันธุ์ใหม่ สืบเชื้อสายมาจาก ดิวคาเลียนและพีร์รา ซึ่งมาจากโพรมีเทียส เอพิมีเทียส แพนดอร่า และไกอา นั่นเอง
มนุษย์ได้ถือกำเนิดจากการผสมผสานระหว่างการมองการณ์ไกลและแรงผลักดัน กับพรสวรรค์ทั้งปวงของโลก"
อ่านให้เป็นนิทาน เป็นหนัง เป็นละคร นะคะทุกคน เพราะนี่คือเรื่องเล่าตำนานเทพเจ้ากรีก
ซึ่งการถือกำเนิดเกิดมาของสรรพสิ่งนั้น แต่ละตำนาน ความเชื่อ ก็จะแตกต่างกันไป
พวกเรามาถึงยุคสมัยนี้แล้ว ใครจะชอบหรือเชื่อตามตำนานของไทย จีน ฝรั่ง ฮินดู หรืออะไรก็ไม่ผิดนะคะ
ในตำนานเทพเจ้ากรีกนั้น เหล่าเทพทั้งหลาย ท่านก็มีอารมณ์เหมือนมนุษย์นี่แหละค่ะ เผลอ ๆ หนักกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะท่านมหาเทพซูส 🙏 ไม่พอใจใครก็สาป
รักชอบใครก็ฉุด🙏
หรือแม้แต่ไกอา เมื่อเราย้อนไปยุคปฐมกาล ท่านก็ให้กำเนิดลูกหลานที่เป็นโทษต่อท่านมากมายเหลือเกิน
ขอบคุณค่ะ
อ้างอิงแหล่งที่มาข้อมูลเพิ่มเติม :
หนังสือ เล่าขานตำนานเทพกรีก
และสำหรับเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบ และสนใจอ่านเพิ่มเติม ขอแนะนำในเว็บไซต์นี้ค่ะ ที่มีครบทุกเรื่องราวของเทพปกรณัมกรีก ทางขณะผู้จัดทำอุทิศให้แก่เทพเจ้ากรีก เป็นเว็บไซต์ของดัตซ์และนิวซีแลนด์ มีข้อมูลเต็มอิ่มจุใจ 1,500 หน้า และภาพเทพเจ้ากรีกที่งดงามเป็นพันกว่ารูป และมีลิงก์ให้สืบค้นอีกเยอะมากค่ะ :
1
เครดิตภาพ : https://www.theoi.com/
เครดิตภาพประกอบบทความ : canva.com
ผู้สังเกตการณ์
โฆษณา