10 ต.ค. 2022 เวลา 12:19 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
ตอนที่ 78 ยืนยันความบริสุทธิ์
“อ้าวทราย มาทำอะไรเหรอ”เสียงของทหารตะโกนแซวผมมาเมื่อเห็นผมและกุ้งเดินผ่านพวกเขาไป
“กูก็มาแจ้งความจับพวกมึงไง”ผมบอกกับพวกนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินเข้าไปพบพนักงานสอบสวน
“ผมมาแจ้งความครับ”ผมบอกกับพนักงานสอบสวนทันทีที่เข้าไปในห้องของพนักงานสอบสวน
“แจ้งความเรื่องอะไรล่ะ”พนักงานสอบสวนถามผมเมื่อผมนั่งลงที่โต๊ะของเขา
“หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา"ผมบอกกับพนักงานสอบสวนไป
“แล้วใครหมิ่นประมาทคุณล่ะ”พนักงานสอบสวนถามผมพลางมองหน้าผมและภรรยา
“ผู้การครับ”ผมแจ้งกับพนักงานสอบสวนก่อนที่จะมอบเอกสารและคลิปวีดีโอให้เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวให้กับพนักงานสอบสวน
“เขากล่าวหาว่าผมค้ายาเสพติดและหลอกลวงชาวบ้าน ถ้าเขาไม่มีหลักฐานมายืนยันความผิดผมตามที่เขาให้สัมภาษณ์ไป เขาต้องไปเจอกับผมที่ศาล”ผมแจ้งกับพนักงานสอบสวนไป
“เอ่อ...นี่เรื่องใหญ่นะเนี่ย”พนักงานสอบสวนบอกกับผมพลางทำท่าลำบากใจ
“แล้วจะรับแจ้งความมั๊ยครับ ผมมีพยานบุคคลอีกเกือบแปดร้อยคนหมวดจะเอาทั้งหมดเลยมั๊ย”ผมบอกกับพนักงานสอบสวนไปพลางมองหน้าเขา
“ไม่ใช่ว่าทางเราจะไม่รับแจ้งนะ แต่บอกตรงๆเลยนะในระนองนี่ไม่เคยมีคดีนี้เลย งั้นขอเวลาแป๊บนะ”พนักงานสอบสวนบอกกับผมก่อนที่จะยกหูโทรศัพท์โทรหาสารวัตร จากนั้นสารวัตร์ก็เดินเข้ามาพบกับพวกเราทั้งสองคน
“ขอเวลาแป๊บนะ พอดีไม่เคยมีใครเคยทำคดีนี้จริงๆเดี๋ยวเปิดตัวบทก่อนนะ”สารวัตรบอกกับผมพลางหยิบหนังสือกฎหมายมาเปิดอ่านและปรึกษากัน
“ถ้าไม่รับแจ้ง ผมจะแจ้งความพวกคุณข้อหาว่าละเว้นนะ”ผมบอกกับตำรวจทั้งสองคนไป
"รับๆ ใจเย็นๆสิ"สารวัตรหันบอกกับผม
จากนั้นตำรวจทั้งสองนายก็ช่วยกันทำสำนวน
ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที นายทหารพระธรรมนูญคนที่เคยทำหนังสือปล่อยตัวผมในเวลาครึ่งคืนก็เดินเข้ามาที่ห้องสอบสวนแห่งนั้น
“มีอะไรเหรอครับ “พนักงานสอบสวนถามกับทหารนายนั้นทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามา
“ผมได้ข่าวว่าทรายมันมาแจ้งความจับผู้การ”นายทหารนายนั้นบอกกับพนักงานสอบสวนก่อนที่จะหันมามองหน้าผม
“ใช่ครับ ทางเรากำลังทำสำนวน”พนักงานสอบสวนบอกกับทหารไป
“งั้นผมขอนั่งฟังด้วย”นายทหารพระธรรมณูญคนนั้นบอกกับพนักงานสอบสวนพลางทำท่าจะมานั่งไกล้ๆผม
“คุณนั่งฟังไม่ได้นะ นี่มันงานของตำรวจ รบกวนออกไปก่อนครับ”พนักงานสอบสวนแจ้งกับนายทหารคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจทันที เพราะเหมือนเป็นการล้ำเส้นการทำงานของตำรวจ
“ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวยังมีเรื่องด่านเถื่อนที่ตั้งผิดกฎหมายอีก
ประกาศกฎอัยการศึกที่นึงแต่ดันไปตั้งด่านอีกที่นึง ไม่ต้องห่วงโดนกันหมดแน่ๆ”ผมหันไปบอกกับนายทหารพระธรรมนูญนายนั้นไปก่อนที่เขาจะรีบเดินออกจากห้องสอบสวนแห่งนั้นไปทันที
จากนั้นผมก็นำใบแจ้งความกลับมาที่บ้านก่อนที่พนักงานสอบสวนจะนัดให้ผมนำพยานเข้ามาให้ปากคำอีกครั้ง
วันถัดมาผมตื่นเช้ามาพบว่ากุ้งภรรยาของผมกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่ท้ายรถยนต์ของเธอ
“ทำอะไรอยู่เหรอ”ผมถามกับกุ้งด้วยความสงสัย
“ประกาศสงครามกับพวกทหาร”กุ้งบอกกับผมก่อนที่จะเดินออกมาทำให้ผมเห็นสติ๊กเกอร์ที่ท้ายรถยนต์ที่ติดไว้ว่า”กูเกลียดทหารระนองอย่างแรง”
"ดีให้มันรู้กันไปเลย”ผมบอกกับกุ้งพลางมองสติ๊กเกอร์ด้วยความสะใจ
วันต่อมาลุงสิงห์ก็โทรเข้ามาหาผม
“ทรายเป็นไงบ้าง”ลุงสิงห์ถามกับผมทันทีที่ผมรับสาย
“ผมสบายดี แล้วลุงสิงห์ล่ะ”ผมถามกับลุงสิงห์กลับไป
“นี่ลุงสิงห์เห็นข่าวแล้วโมโหแทน เลยคุยกับชาวบ้านที่นี่ว่าเราจะแถลงข่าวบ้างให้คนเขารู้ความจริง ไม่ใช่ให้แต่ทหารออกข่าวฝ่ายเดียว แต่ทรายต้องมาด้วยนะ”ลุงสิงห์บอกกับผม
“ได้สิ ผมไปได้ แต่จะให้ผมไปแถลงข่าวก็คงไม่มีใครเชื่อผมหรอก ผมโดนออกข่าวซะเละขนาดนี้ ผมว่าให้ชาวบ้านพูดแทนผมดีกว่า จะได้ดูมีน้ำหนัก”ผมบอกกับลุงสิงห์ไป
“ยังไงทรายก็ต้องมานะ เพราะถ้าพวกชาวบ้านไปแถลงข่าวที่ระนองก็คงโดนทหารหิ้วตัวไปขังเหมือนกับทรายแน่ๆ”ลุงสิงห์บอกกับผม
“แล้วกุ้งล่ะ เป็นไงบ้าง”ลุงสิงห์ถามถึงภรรยาของผมต่อ
“ก็สบายดีครับ แต่ยังแพ้ท้องอยู่บ้าง”ผมบอกกับลุงสิงห์ไป
“เออถ้าไงชวนกุ้งมาด้วยนะ เดี๋ยวมาช่วยกันตั้งชื่อหลานกันที่นี่”ลุงสิงห์บอกกับผมก่อนที่จะวางสายไป
วันต่อมาผมและกุ้งก็ขับรถยนต์ไปยังโรงเรียนแห่งหนึ่งที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เมื่อผมไปถึงโรงเรียนแห่งนั้นผมก็พบกับชาวบ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านอินทนิลขวางกับผมจำนวนมากรวมทั้งจ่าตี๋กับพวกตำรวจด้วย
“เป็นไงบ้างทราย ไม่ได้เจอกันนานเลย”จ่าตี๋ทักทายผมกับกุ้งภรรยาของผม
“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกนั้นไม่กล้าทำอะไรผมหรอก แต่ก็มีขับรถตามๆผมอยู่เหมือนกัน”ผมบอกกับจ่าตี๋
“พี่ว่าทรายเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่เถอะ เครื่องนี้ของทรายโดนดักฟังแน่ๆ”สารวัตรหมูบอกกับผม
“ช่างมันเถอะ มันจะฟังอะไรก็ปล่อยมันไป ผมไม่มีความลับอะไรอยู่แล้ว”ผมบอกกับสารวัตรหมู
“โน่นนักข่าวมาแล้ว ทรายไปนั่งกับพวกชาวบ้านเถอะ เดี๋ยวพวกพี่จะดูแลรอบนอกให้เอง”จ่าตี๋บอกกับผมซึ่งพื้นที่แห่งนี้อยู่ในเขตความรับผิดชอบของโรงพักของพวกเขาอยู่แล้ว
จากนั้นก็มีนักข่าวช่อง 3 เข้ามาทำข่าว
หลังจากนั้นผมก็เข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านคนอื่นๆอีกซักพักก่อนที่ลุงไข่ก็เริ่มแถลงข่าวเป็นแรก
โดยที่ลุงไข่ไม่ทราบว่าทหารพม่าพบกัญชาของที่บ้านของหมอกัญญาเพราะกัญชาที่ชาวบ้านพบเห็นในหมู่บ้านส่วนมากจะเป็นของชาวบ้านที่ปลูกไว้ใส่แกงซึ่งมีกันแทบทุกบ้าน
หลังจากที่ลุงไข่พูดไปได้สักพักลุงสิงห์ก็ขึ้นมาพูดว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปประชุมกับชาวบ้านและแจ้งว่าชาวบ้านสามารถทำกินในพื้นที่ของหมู่บ้านอินทนิลขวางได้โดยเฉพาะตัวของผู้ใหญ่เรืองฤทธิ์ที่จะเข้ามาประชุมชาวบ้านในหมู่บ้านทุกๆเดือน
จากนั้นเจ้าเอกก็มาบอกกับนักข่าวว่าตลอดเวลาที่ท่านบิณฑบาตรในหมู่บ้านอินทนิลขวาง เจ้าเอกก็ไม่เคยพบไร่กัญชา หากแต่มีบางบ้านที่ปลูกไว้ต้นสองต้นนั้นท่านก็เคยเห็นบ้าง
หลังจากแถลงข่าวได้ไม่นานนักข่าวก็กลับออกไป
“นี่ตกลงในท้องนี่ลูกชายหรือลูกสาว”ลุงสิงห์ถามกับกุ้ง
“ลูกชายครับ ไปอัลตร้าซาวด์มาแล้ว”ผมบอกกับลุงสิงห์
“เฮ้ยๆ ลูกชายโว้ยพวกเรา มาๆช่วยตั้งชื่อกันหน่อย”ลุงสิงห์ตะโกนบอกกับพวกชาวบ้าน
“เห็นพ่อมันสะพายแต่ปืน M ก็ต้องเรียกน้อง M “ลุงสิงห์บอกกับทุกๆคน
“ไม่ได้สิ ต้องตั้งชื่อว่าจริงอินทนิล ชื่อเล่นว่าลูกเกลี้ยง”ลุงพิศบอกกับชาวบ้าน
“อาก้าก็ไม่เลวนะ”เสียงของชาวบ้านต่างเสนอขึ้นมาอย่างสนุกสนาน
“เออใครจะเรียกอะไรก็ช่าง เราเรียกน้อง M โว้ย555"ลุงสิงห์บอกกับทุกคนพลางหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ลาชาวบ้านเพื่อเดินทางกลับมายังจังหวัดระนอง
“ชื่อแต่ละชื่อที่ชาวบ้านเขาตั้งให้ เราว่าไม่ไหวนะ กลัวลูกโตมามีปม”กุ้งบอกกับผมพลางยิ้ม
เมื่อผมเข้าเขตจังหวัดระนองและขับมาถึงด่านของทหารจู่ๆก็มีทหารออกมายืนขวางผมไว้
“ขออนุญาตค้นรถครับ”ทหารประจำด่านบอกกับผมหลังจากที่ผมลดกระจกลง
“ตามสบาย”ผมบอกกับทหารก่อนที่จะเดินลงมาจากรถยนต์พร้อมกุ้งซึ่งท้องแก่
หลังจากที่ทหารค้นรถยนต์ของผมแล้วไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายทหารคนดังกล่าวก็เดินมาหาผมซึ่งยืนมองพวกเขาอยู่ข้างๆรถยนต์
“ขออนุญาตตรวจปัสสาวะด้วยครับ เชิญด้านนี้”ทหารนำตัวผมมาตรวจฉี่ซึ่งหลังจากที่ตรวจแล้วก็ไม่พบอะไร
จากนั้นผมก็เดินกลับมาที่รถยนต์ซึ่งกุ้งยืนรออยู่
“ทีใครทีมันนะ”ผมบอกกับพวกทหารก่อนที่จะขับรถยนต์ออกมาโดยที่ผมหันไปมองกระจกหลังแล้วเห็นพวกทหารต่างพากันชี้ให้ดูสติ๊กเกอร์ท้ายรถยนต์ของผม
“พวกมันต้องค้นรถเราทุกครั้งแน่ๆ”กุ้งบอกกับผมด้วยความกังวล
“มันมีอำนาจในจังหวัด เราต้องเล่นให้ใหญ่กว่าเก่า”ผมบอกกับกุ้งเพราะรู้ดีว่านี่เป็นการตอบโต้ของทหารพวกนั้นที่ผมไปแจ้งความ
“แล้วเราจะทำไงดี”กุ้งถามกับผมต่อ
“เดี๋ยวเรารอให้พวกชาวบ้านที่ถูกทหารพม่าจับไปถูกปล่อยตัวกลับมาก่อน เราจะเล่นพวกนี้ให้ถึงกรรมาธิการทหารเลย”ผมบอกกับกุ้งพลางยิ้มมุมปาก
“เอาให้ยับ ให้มันรู้ว่าเล่นกับใคร”กุ้งบอกกับผมขณะที่นั่งรถกลับมาที่บ้านด้วยกัน
จากนั้นอีกสัปดาห์ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากนายหัวชาญ
“ทราย มีคนอาสาจะไปเอาศพของน้องกรออกมา ทรายออกมาคุยกันที่บ้าน สจ.เบิร์ดหน่อยสิ”นายหัวชาญบอกกับผม
จากนั้นผมก็ขับรถยนต์ไปยังบ้านของ สจ.เบิร์ดที่ปากจั่นทันที
“คนนี้เขาชื่อหมา เขาเป็นคนสองสัญชาติ”นายหัวชาญแนะนำผมกับชายคนหนึ่งซึ่งมีทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของทั้งไทยและของพม่า
“รู้ใช่มั๊ยว่าศพของพี่กรฝังอยู่ที่ไหน”ผมถามกับชายคนที่ชื่อหมาทันที
“รู้ครับ ผมได้ยินพวกทหารพม่าพูดกันว่าฝังอยู่หลังบ้านของน้องกรเอง”ตาหมาบอกกับผม
“งั้นไปเอาศพพี่กรออกมาให้ได้ จะทำยังไงก็แล้วแต่ผมไม่สน แล้วคิดค่าเหนื่อยเท่าไหร่”ผมถามราคาค่าจ้างกับตาหมา
“ผมไม่คิดครับ ผมก็เคยพบเจอกับน้องกร ผมคิดว่าทำบุญให้น้องกรมันได้ออกมาพบพระพบกับลูกของเขา"ตาหมาบอกกับผม
“ถือว่าช่วยๆกันนะ แต่ไปกันเงียบๆนะ เพราะทหารไทยพยายามบอกว่าไม่มีคนตาย ถ้าเกิดพวกทหารไทยรู้อาจจะทำงานกันลำบาก”ผมบอกกับตาหมาเบาๆ
“แต่ผมต้องเอาเงินไปเคลียร์ให้ทหารพม่าด้วยครับก่อนที่จะเข้าไปในโน้น”จู่ๆตาหมาบอกว่าต้องการเงินทั้งที่ตอนแรกบอกว่าไม่เอาเงิน
“เท่าไหร่ล่ะ”ผมถามกับตาหมา
“5,000 บาทครับ”ตาหมาบอกกับผมก่อนที่ผมจะเดินกลับมาที่รถยนต์เพื่อหยิบเงินออกมาให้ตาหมา
“นี่ 10,000 บาท ผมให้ค่าเหนื่อยด้วย มีอะไรก็มาบอก สจ.หรือนายหัวชาญก็ได้”ผมบอกกับตาหมาพลางส่งเงินให้กับเขา
“งั้นผมจะรีบไปจัดการให้ทันที"ตาหมารับเงินจากผมไปแล้วก็เดินออกไป
“ช่วงนี้ทรายก็ระวังตัวกันหน่อยนะ ดูท่าพวกนั้นจะไม่ยอมจบง่ายๆ”นายหัวชาญบอกกับผม
“ผมแจ้งความกลับไปแล้ว อ้างชื่อนายหัวชาญเป็นพยานด้วย”ผมบอกกับเขา
“ได้เลยไม่มีปัญหา ที่จริงทุกคนพร้อมเป็นพยานให้ทรายอยู่แล้ว”นายหัวชาญบอกกับผม
“ผมขอถามหน่อยสิ ใครคือกานดา ว่าวทอง เหรอครับ"ผมถามกับนายหัวชาญเพราะได้เห็นผู้หญิงคนนี้ออกมาให้สัมภาษณ์ข่าวออกทางทีวีบ่อยๆเกี่ยวกับเรื่องราวในหมู่บ้านอินทนิลขวางโดยมีทหารร่วมอยู่ด้วย
“อ๋อ เมียไอ้แฟตที่ไปรับจ้างถางป่าน่ะ โดนทหารพม่าจับไปด้วยพร้อมลูกชาย”นายหัวชาญบอกกับผม
“ผมเห็นออกมาให้ข่าวใส่ความผมตลอดเลย”ผมบอกกับนายหัวชาญ
“มันก็พูดไปตามบทที่เขาให้พูดนั่นแหละ วันก่อนเคยถามมันว่าช่วงนี้ผัวกับลูกชายถูกทหารพม่าจับไปแล้วเอาเงินที่ไหนใช้ มันบอกว่าทหารพานักข่าวมาสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งก็ให้เงินไว้ทีละ2-3พัน” สจ.เบิร์ดซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากบ้านบอกกับผม
“มิน่าล่ะ เห็นในข่าวใส่ผมเต็มๆ พูดว่าในหมู่บ้านมียาเสพติดบ้างล่ะ ลูกชายแค่เข้าไปส่งของบ้างแหละ”ผมบอกกับ สจ.เบิร์ดเพราะสงสัยที่คนที่ชื่อกานดา ที่ให้สัมภาษณ์เหมือนกับว่าเขาเคยได้เข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวางมานานทั้งที่ไม่เคยได้เข้าไปในหมู่บ้านเลยสักครั้ง
“เขาจ้างให้สัมภาษณ์น่ะ เลยต้องเล่นให้สมกับค่าจ้าง ลูกชายมันนั่นแหละตัวดีติดยางอมแงม” สจ.เบิร์ดบอกกับผมเพราะรู้ว่าทางเจ้าหน้าที่อยากให้มีข่าวทำนองเดียวที่เคยออกจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ทหาร จังหวะนี้จึงต้องหาชาวบ้านหรือใครสักคนมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบ้างเพื่อจะได้เป็นแนวทางเดียวกัน
“งั้นผมกลับก่อนนะ ยังไงผมก็ฝากดูเรื่องศพของพี่กรด้วย”ผมบอกกับ สจ.เบิร์ดและนายหัวชาญก่อนที่จะขับรถยนต์กลับมา
หลังจากนั้นไม่กี่วันนายหัวชาญก็แวะมาหาผมที่บ้านในตัวเมือง
“ตาหมามันไม่กล้าเข้าไปขุดศพน้องกร มันเลยเอาเงินมาคืนทราย”นายหัวชาญบอกกับผมก่อนที่จะนำเงินจำนวน 10,000 บาทมาส่งคืนให้ผม
“แล้วเราจะทำไงได้บ้างล่ะ”ผมถามกับนายหัวชาญด้วยความผิดหวังหลังจากที่รับเงินคืนมา
“ก็ไม่รู้จะทำยังไงกันต่อ คงต้องรอให้พวกชาวบ้านที่ถูกทหารพม่าจับกลับออกมาก่อน เพราะพวกเราก็ไม่รู้ว่าศพของน้องกรฝังอยู่ที่ไหน ที่สำคัญตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่ายังมีทหารพม่าอยู่ในหมู่บ้านอินทนิลขวางอีกหรือเปล่า ขืนเข้าไปผลีผลามอาจจะโดนเก็บก็ได้”นายหัวชาญบอกกับผม
“สงสารก็แต่น้องน๊อตแหละที่ยังไม่รู้เลยว่าพ่อตัวเองเป็นไงบ้าง”ผมบอกกับนายหัวชาญ
“ยังไงเดี๋ยวเราก็มาวางแผนกันอีกที”นายหัวชาญบอกกับผมก่อนที่จะขับรถยนต์ออกไป
หลังจากนั้นไม่กี่วันทางผู้กำกับการตำรวจของจังหวัดระนองมีหนังสือเรียกตัว”จ่าตี๋”มาสอบสวนที่จังหวัดระนอง
เนื่องจากช่วงที่ผมถูกควบคุมตัวโดยทหารนั้นได้มีเบอร์โทรของจ่าตี๋โทรเข้ามาหาผมไม่ขาดสาย ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารมีความสงสัยว่าจ่าตี๋คือใครและอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับผมก็เป็นได้
เมื่อจ่าตี๋มาถึงห้องสอบสวนในสถานีตำรวจจังหวัดระนอง ทางพนักงานสอบสวนก็ทำการสอบสวนจ่าตี๋เกี่ยวกับเรื่องของผมโดยทันที
“คุณรู้จักกับนายเกรียงไกร ใช่มั๊ย”พนักงานสอบสวนเริ่มสอบถามจ่าตี๋
“รู้จักครับ แต่ก็ไม่ค่อยสนิทกัน”จ่าตี๋ให้การไป
“แล้วคุณไปรู้จักกับนายเกรียงไกรได้ยังไง”พนักงานสอบสวนถามต่อ
“หลายเดือนก่อนผมกำลังโบกรถอยู่ที่ทางแยกในตอนเช้า หลังจากนั้นก็มีรถยนต์คันนึงมาจอดใกล้ๆและคนในรถก็เดินเข้ามาหาผม” จ่าตี๋เริ่มให้ข้อมูล
“เขาบอกผมว่าเขาชื่อ ทราย มาจากระนองและกำลังมาถามหาร้านขายอะไหล่รถแทรกเตอร์ บังเอิญผมมีญาติที่เปิดร้านขายพวกอะไหล่พอดี ผมจึงอาสาขับรถนำทางไปให้เขา หลังจากนั้นผมก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ”จ่าตี๋คงให้การไปเรื่อยๆ
“แต่หลังจากที่คนชื่อทรายสั่งอะไหล่ไปแล้ว เขาก็ได้ย้อนกลับมาที่แยกที่ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่และได้ซื้อเครื่องดื่มชูกำลังมามอบให้ผมและหลังจากนั้นเขาก็ขอเบอร์โทรผมก่อนจะกลับไประนอง”จ่าตี๋ให้การไปเรื่อยๆ
“แล้วคุณรู้จักหมู่บ้านอินทนิลขวางมั๊ย”พนักงานสอบสวนถามต่อ
“รู้จักครับ เพราะญาติๆของผมมีสวนยางในนั้นหลายคน ผมเคยเข้าไปที่ในหมู่บ้านนั้นด้วย”จ่าตี๋บอกกับพนักงานสอบสวนไป
“คุณทราบมั๊ยว่าหมู่บ้านอินทนิลขวางเป็นพื้นที่ของประเทศพม่า”พนักงานสอบสวนถามต่อ
“ไม่ทราบหรอกครับ เพราะทุกอย่างก็เหมือนกับหมู่บ้านทั่วๆไป ผมเห็นมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆหลายคนก็เคยเข้าไปที่นั่น”จ่าตี๋บอกกับพนักงานสอบสวน
“แล้วคุณได้ขายที่ดินให้กับคนอื่นบ้างมั๊ย”พนักงานสอบสวนถามต่อไปเรื่อยๆ
“ผมไม่มีที่ดินในหมู่บ้านนั้นครับ ผมจึงไม่รู้จะเอาที่ดินตรงไหนไปขาย”จ่าตี๋บอกกับพนักงานสอบสวนโดยที่รู้ดีว่าพนักงานสอบสวนไม่มีข้อมูลใดๆมาหักล้างคำให้การของเขาได้
“แล้วทำไมวันที่ 6 กรกฎาคม คุณถึงโทรเข้าโทรศัพท์ของนายเกรียงไกรจำนวนหลายครั้ง” พนักงานสอบสวนถามถึงข้อมูลในโทรศัพท์ของผมซึ่งก่อนหน้านั้นโดนทหารยึดเอาไว้
“ก็อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแหละครับว่าเขาสั่งอะไหล่รถแทรกเตอร์จากร้านญาติผมไปเยอะ พออะไหล่รถมาแล้วปรากฏว่าทางร้านเขาติดต่อทรายไม่ได้ ทางร้านเขาก็มาโวยวายกับผมสิครับ ผมก็เลยลองโทรหาเพื่อจะเคลียร์ปัญหา ปรากฎว่าผมโทรติด แต่ไม่มีใครรับสาย” จ่าตี๋อธิบายต่อพนักงานสอบสวนถึงเรื่องที่มีเบอร์โทรของเขาโทรหาผมในขณะที่ผมโดนทหารควบคุมตัวและทางทหารได้ยึดโทรศัพท์ของผมไว้
เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนจ่าตี๋เสร็จเรียบร้อยก็ได้ให้จ่าตี๋ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การ
จากนั้นพนักงานสอบสวก็เดินลงมาส่งจ่าตี๋ที่รถ
ระหว่างนั้นพนักงานสอบสวนก็ได้พูดเปรยๆกับจ่าตี๋ว่า..
”ไอ้ทรายมันร้าย ไม่มีใครกล้าให้ข้อมูลมันกับทางตำรวจเลย”จ่าตี๋หยุดเดินแล้วหันไปพูดกับพนักงานสอบสวนท่านนั้นว่า
“สารวัตรอยากฟังเรื่องโกหกมั้ยล่ะ ผมจะเล่าให้ฟัง แต่ผมต้องขอบอกก่อนนะว่าสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้มันเป็นเรื่องโกหก"จู่ๆจ่าตี๋ก็หันมาพูดกับสารวัตร
"ผมนี่ไปกินนอนในป่ากับทรายหลายปี ผมรู้จักดีว่าทรายเป็นคนแบบไหน อย่าไปเชื่อไอ้ผู้การ......ให้มันมาก มันมารับตำแหน่งเพื่อมากอบโกยแล้วมันก็ไป พวกเราสิต้องอยู่กับประชาชนในพื้นที่อีกนาน อย่าไปโง่ตามมัน
แล้วสารวัตรก็ไม่ต้องไปส่งผมแล้วนะ ขอบคุณครับ” หลังจากพูดเสร็จจ่าตี๋ก็เดินมาขึ้นรถยนต์แล้วขับกลับมายังจังหวัดสุราษฎร์ธานีทันที ทิ้งให้พนักงานสอบสวนยืนงง
เพราะคำให้การที่จ่าตี๋เซ็นชื่อแล้วกับคำพูดเมื่อกี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง..!!!
#เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
โฆษณา