13 ต.ค. 2022 เวลา 01:51 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของความอยาก..เรื่องราวของอารมณ์..เรื่องราวของคำว่า อัตตา เรื่องราวของคำว่า จิต.. จิตนั้น ..มีการบันทึก ..จิตที่เวียนว่ายตาย จิตของผู้ที่มีกรรม ล้วนอยู่ใต้อารมณ์กรรม ที่หนาแน่น มีกรรมบันดาล ด้วยความโลภทะเยอทะยานไม่สิ้นสุด ให้ไปยึดสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ยึดถือเป็นเอามาเป็นอารมณ์ เป็นอณูสีดำสีม่วง ..เป็นสีต่างๆ ลงไปสะสมที่ธาตุทั้งสี่ เหมือนสีที่ทาทับลงไปที่ที่ธาตุทั้งสี่ ดึงดูดจิต..ดึงกรรม..ทับลงไปที่จิต มากเข้าๆ ..มันมีแต่ดึงดูดให้เกิดทิฐิ ความทะเยอทะยาน มากมาย
.. เมื่อมีสิ่งที่ดึดดูดเข้า มาสู่จิต ที่เป็นเหมือนหลุดดำได้ ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผลักสิ่งที่ไม่ดีสีดำออกไปจากจิตได้ ผลักไสอารมณ์ออกไป สลัดสิ่งที่ติดอยู่กับธาตุทั้งสี่ที่มีสีดำสีม่วงอะไรๆมากออกไปได้ เหมือนขัดจิตขัดธาตุทั้งสี่ที่จิตอาศัยเรือนกายนี้อยู่ได้ นั้นก็เป็นเรื่องราวของรอยทั้งสี่ ที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านทรงกระทำ ฟอกกายฟอกจิต จนธาตุนั้นใสบริสุทธิ์ วิญญาณทั้งหกเป็นแก้ว จิตเป็นแก้ว ก็ด้วยการขัด การชำระสะสาง ผลักไสสิ่งที่ไม่ดีออกไป ให้กายเป็นบุญ จิตเป็นธรรม
โลกที่เราจับต้องได้ วัดค่าอะไรต่างๆได้เป็นรูปธรรม เรียนรู้สัมผัสได้ มันก็เป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ ที่มนุษย์คนไหนมีปัญญาก็เรียนรู้จักได้ แต่เลยไปแค่สิ่งที่เราอาศัยในเรือนกาย พระคุณพ่อแม่ เรารู้จักมั้ย
เรื่องอารมณ์ที่เป็นนามธรรม ..มันมาจากไหน จิตที่มาอาศัยเรื่อนกายนี้ ..ที่เค้าว่ามีกรรม มีอารมณ์โลภโกรธหลง..มีภาวะ ภาวะตัณหา วิภวะตัณหา มีแรงกดแรงดัน มีวิญญาณธาตุ ที่เค้าว่ากันอยู่ มันเป็นเหมือนนามธรรม เป็นเรื่องราวของจิต กับ สิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นเรือนกาย เหมือนว่า กายป่วย ..จิตเราป่วยด้วยมั้ย กายเจ็บ ..จิตเราเจ็บด้วยมั้ย บุคคลที่ท่านฝึกมาดีแล้ว ท่านก็แยกกายก็ส่วนกาย จิตก็อยู่ส่วนจิตได้ กายนั้นเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แต่จิตท่านก็ไม่ไปยึดกาย เค้าทำกัน ให้ได้ก่อนตาย
หากเราเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ เรียนแล้วก็จดจำได้ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวว่า ตัวตนของเรานั้นจมอยู่กับโคลนตมอยู่ เราก็ภูมิใจในสิ่งที่เรารู้ ส่วนอีกผู้หนึ่ง ไม่ได้เรียนรู้ ..แต่มีการปฏิบัติ..กระทำขึ้นมา เค้าก็ย่อมได้เรียนรู้จัก หนีออกจาก โคลนตมนั้นได้ มันจึงมีความแตกต่างกันในเรื่องของคนที่จดจำแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ กับจิตของบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติ ย่อมมีความแตกต่างกัน
เรื่องราวการสอนให้ยึดถือมันง่าย..เพราะนิสัยของมนุษย์นั้นชอบยึด .อยู่แล้ว มันยึดทั้งสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต สิ่งที่เป็นสาระไม่เป็นสาระ ปราศจากเหตุผลอะไรก็ยึด ..แต่สอนให้ลดละ ความยึดถือ ความโกรธความโลภความหลง มันเหมือนไปขัดใจ ขัดอารมณ์ ขัดทิฐิในตน ขัดความเชื่อในตน
ที่เค้าบอกว่า ว่าให้ลดละ ปล่อยวาง ย่อมกระทำไม่ได้เลย อุปมา เหมือนเราเป็นปลาแหวกว่ายในห้องมหาสมุทร ทุกสิ่งทุกอย่างที่วิญญาณทั้งหก แหวกว่ายอยู่ นั้นล้วนเป็นมายาของโลก เป็นอารมณ์ของโลก ที่จะหลงใหลเข้าสู่จิต ..จึงเป็นเรื่องที่อยากที่จะแหวกว่าย หรือเป็นบัวดอกบัว ที่จะชูขึ้นไปเหนือห้องมหาสมุทรนี้ได้เลย
แล้วถ้าเรานึกย้อนไป..ย้อนไปว่า อะไรล่ะ ที่ดึงดูดจิตให้เรา มาอยู่กับเรือนกายนี้ ยังโชคดีที่ได้เรือนกายที่อยู่ในพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ..หากได้ไปกายที่เป็นพ่อแม่ไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นอย่างไร ในคำว่า จิตเคลื่อนที่ ไปสถิตย์ตามที่นั่น ที่นี่ เกิดกรรม..ดึงดูดจิต ไปอยู่ ไปจุติในท้องพ่อแม่ที่ไม่ใช่มนุษย์ จะได้เรียนรู้อะไรกับเค้ามั้ย ในชาติที่ไม่ใช่สังขารมนุษย์
โฆษณา