16 ต.ค. 2022 เวลา 02:38 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
ตอนที่ 80 กรรมาธิการทหาร..
“ทราย แย่แล้วนายหัวชาญโดนทหารจับตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน” เสียงของพี่เล็กบอกกับผมมาทางโทรศัพท์
“ทหารมาจับตัวนายหัวชาญไปทำไม”ผมถามกับพี่เล็กไปด้วยความตกใจ
“เห็นพี่จุ๊เมียนายหัวชาญบอกว่าทหารมาค้นหาเอกสารเกี่ยวกับเรื่องในในอินทนิลขวางนั่นแหละ”พี่เล็กบอกกับผมมาทำให้ผมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเพราะผมเพิ่งนำหนังสือเล่มนั้นมอบให้นายหัวชาญไปเมื่อวานนั่นเอง
“แล้วพวกนั้นได้เอกสารอะไรไปบ้างมั๊ยพี่”ผมถามกับพี่เล็กด้วยความกังวลใจ
“พี่ก็ไม่รู้ ตอนนี้พี่กับพี่จุ๊กำลังขับรถไปที่วัดป่าช้าใกล้จะถึงแล้วล่ะ ทรายจะมาด้วยกันมั๊ย”พี่เล็กถามกับผม
“ได้ๆพี่ เดี๋ยวผมจะรีบไป”ผมบอกกับพี่เล็กพลางเตรียมตัวขับรถยนต์ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้บอกกับกุ้งเพราะเธอหลับอยู่
จากนั้นผมก็ขับรถยนต์มายังวัดป่าช้าซึ่งผมเคยโดนทหารพวกนั้นควบคุมตัวไว้
เมื่อผมไปถึงผมก็พบว่านายหัวชาญถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว
“อ้าว ยังไงกันครับพี่”ผมถามนายหัวชาญอย่างงงๆเมื่อเห็นเขายืนอยู่กับพี่จุ๊และพี่เล็กที่กำแพงวัดโดยที่มีทหารต่างชี้ให้กันดูผมเมื่อเห็นผมกลับมาเหยียบถิ่นของพวกเขาอีกครั้ง
“พวกนั้นมาค้นหาเอกสาร แต่พี่ซ่อนไว้ได้ทัน มันก็เลยหิ้วตัวพี่มาที่นี่”นายหัวชาญบอกกับผม
“แล้วทำไมพวกนั้นถึงปล่อยตัวออกมาเร็วจังครับ”ผมถามด้วยความสงสัย
“ก็พี่เถียงกันทั้งคืนสิ สงสัยคงรำคาญมั้ง ที่จริงมันปล่อยตัวพี่ตั้งแต่เมื่อคืนตอนดึกแล้วแหละ แต่พี่ไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยจึงไม่มีรถกลับบ้าน”นายหัวชาญบอกกับผม
“ดีจังวุ้ย ตอนไปหิ้วตัวมาเอารถไปกันได้ แต่พอปล่อยตัวเสือกให้เขาหารถกลับกันเอง”ผมบ่นอย่างโมโห
“เราต้องรีบรุกพวกนี้คืนบ้าง ปล่อยไว้นานมันยิ่งเหลิง”นายหัวชาญบอกกับผม
“ผมกำลังติดต่อผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักให้ดันเรื่องเข้ากรรมาธิการ เดี๋ยวยังไงนายหัวชาญเตรียมเอกสารไว้นะครับ”ผมบอกกับนายหัวชาญ
“ดีเลย พวกนี้ต้องเล่นถึงระดับสูง บ้าอำนาจดีนัก”นายหัวชาญบอกกับผม
“ถ้างั้นผมกลับก่อนดีกว่า มาวัดนี้ทีไรบรรยากาศมันไม่ดีเอาเสียเลย ที่สำคัญผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใครเลย"ผมบอกกับทุกๆคนก่อนที่จะรีบขับรถยนต์กลับมาที่บ้านของผม
สัปดาห์ต่อมาผมนัดลุงสิงห์และคนอื่นๆมาประชุมที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎรธานี
ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ขับรถยนต์ของผมไปเพราะมีคอมพิวเตอร์และเอกสารสำคัญไปด้วย หากโดนทหารที่ด่านยึดไปผมก็คงไม่มีข้อมูลที่จะนำเสนอต่อกรรมาธิการ
ผมจึงเปลี่ยนแผนนั่งรถตู้สาธารณะจากระนองไปแทน
ซึ่งก็ได้ผล ทหารที่ด่านไม่ได้สนใจผมหรือรถตู้ที่ผมโดยสารมาเลย ครั้งนี้ผมจึงผ่านด่านของทหารได้โดยที่ไม่โดนตรวจค้นหรือจับตรวจฉี่เหมือนทุกครั้ง
“ทรายนี่ ตู่ แกนนำชาวบ้านจากช่องหินหมูของชุมพร”ลุงสิงห์แนะนำผู้ชายรุ่นเดียวกับผมเมื่อผมมาถึงสถานที่ที่พวกเรานัดกันไว้
“ตู่อีกแล้ว ทำไม่มีแต่คนชื่อนี้นะ ชื่อหมาตายแม่งมีเป็นร้อยชื่อไม่ยักเอามาตั้ง"ผมบ่นเบาๆเมื่อได้ยินชื่อนี้
"แล้วช่องหินหมูมันมีอะไรเหรอ”ผมถามกับลุงสิงห์ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าเรื่องของหมู่บ้านอินทนิลขวางไปเกี่ยวข้องยังไงกับหมู่บ้านช่องหินหมู
“คือยังนี้นะพี่ หมู่บ้านช่องหินหมูก็เหมือนหมู่บ้านอินทนิลขวางนี่แหละ พวกเราทำมาหากินกันหลายปีมีบ้านเลขที่แล้วด้วย จู่ๆทหารไทยก็มาบอกว่าพวกเราอยู่ในเขตของพม่า ถ้าจะทำกินต่อก็ต้องขอเช่าที่ดินต่อจากบริษัท”ตู่ซึ่งเป็นแกนนำของชาวบ้านช่องหินหมูบอกกับผม
“เออ เคยได้ยินเหมือนกันว่าที่หมู่บ้านอินทนิลขวางก็จะให้เช่าจากบริษัท ว่าแต่บริษัทนั่นมันของใครเหรอ”ผมถามกับตู่ไปด้วยความสงสัย
“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่เมื่อทหารบอกว่าให้เช่าที่ดินแล้วใครจะไปยอมล่ะ พวกเราทำมาหากินกันมาตั้งนาน”ตู่บอกกับผม
“แล้วตอนนี้ชาวบ้านเป็นยังไงบ้าง”ผมถามกับตู่
“ทหารไทยเอาลวดหนามไปกั้นไว้ไม่ให้เราเข้าไปในหมู่บ้านของพวกเรา เขาบอกว่าบ้านของพวกเราอยู่ในเขตของพม่า ผมเคยขอทหารพวกนั้นดูแผนที่ ทหารก็ไม่ให้ดู พวกเขาบอกว่าเขตลวดหนามที่พวกเขามาปักมันยังล้ำอยู่ในเขตพม่าอีก 300 เมตร ถ้าให้พวกเราดูพวกทหารพม่าก็จะรู้ว่าแนวลวดหนามที่ปักไว้ยังล้ำเขตอยู่อีก 300 เมตร ตอนนี้พวกชาวบ้านเลยเข้าไปที่บ้านของตัวเองในหมู่บ้านไม่ได้" ตู่บอกกับผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“งั้นพวกเราก็ทำเรื่องพวกนี้ส่งกรรมมาธิการทหารด้วยกันเลย แต่พวกเอกสารของหมู่บ้านอินทนิลขวางผมให้นายหัวชาญทำดีกว่า เพราะตอนนี้หากผมพูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อถือส่วนผมขอเอาเรื่องส่วนตัวกับไอ้ผู้การล้วนๆ”ผมบอกกับทุกคนด้วยความแค้น
หลังจากที่ได้ประชุมวางแผนกันแล้วผมกับตู่ก็ช่วยกันร่างหนังสือถึงกรรมมาธิการทหาร
จากนั้นผมก็นั่งรถตู้กลับมาที่จังหวัดระนองโดยที่พวกทหารไม่รู้ว่าผมเข้าออกจากจังหวัดระนองด้วยรถตู้สาธารณะ
วันถัดมาผมจึงเดินทางไปหานายหัวชาญที่บ้านของเขาแถวปากจั่น
“ผมจะไปรัฐสภาให้ทางกรรมาธิการจัดการเรื่องของผม ยังไงนายหัวชาญดูเรื่องเอกสารของพื้นที่ในหมู่บ้านอินทนิลขวางด้วยนะ บอกตรงๆเรื่องเอกสารนี่ผมไม่ค่อยถนัด ผมถนัดแต่เรื่องแค้นส่วนตัว ส่วนเรื่องของหมู่บ้านผมคงต้องพึ่งนายหัวชาญแล้วแหละ”ผมบอกกับนายหัวชาญไป
“ได้ๆ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงรัฐสภาพวกเรายังคงพอมีหวังบ้าง”นายหัวชาญบอกกับผมอย่างดีใจ
หลังจากที่พูดคุยธุระกันไม่นานผมก็ขอตัวกลับมาที่บ้านผม ระหว่างทางผมได้แวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน
“ เติม 91 สามร้อย”ผมบอกกับพนักงานเติมน้ำมันในปั๊มแห่งนั้น
“อ้าว ทราย ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เด็กปั๊มผู้หญิงซึ่งเป็นชาวบ้านในซอยเดียวกับพ่อผมถามขึ้นมา
“ออกมาจากไหน”ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“อ้าวเห็นข่าวออกว่าโดนจับ ออกมาไวจังประกันตัวออกมาเหรอ”เด็กปั๊มคนนั้นยังคงถามผมต่อด้วยความสงสัย
“ใช่ประกันตัวออกมา”ผมบอกกับเขาไปด้วยความรำคาญเพราะหากบอกความจริงไปคงต้องเสียเวลานั่งอธิบายกันยืดยาว ผมเลยบอกในสิ่งที่เขาอยากจะฟังไปจะได้จบๆ
“คงหมดไปหลายเงินสินะ แต่ไม่เป็นไรหรอกระดับทรายเงินแค่นี้เด็กๆ”เด็กปั๊มคนนั้นยังคงพูดไปเรื่อยๆ
“งั้นเอาเต็มถังเลยก็แล้วกัน ตอนแรกคิดว่าจะเติมไปนิดหน่อยเพราะกะว่าจะเติม E20 ที่ปั๊มหน้า แต่ไหนๆแล้วก็เติมเต็มถังไปเลยก็แล้วกัน”ผมบออกกับเด็กปั๊มไป
“1,200พอดี”เด็กปั๊มบอกกับผมก่อนที่ผมจะหยิบเงินจำนวน 1,200 บาทส่งให้กับเขา
“ยังไงก็ขอให้ชนะคดีนะ”เด็กปั๊มบอกกับผมก่อนที่ผมจะขับรถยนต์ออกมาด้วยอาการหิวข้าว เพราะเงินที่กุ้งให้มาผมดันเอาไปเติมน้ำมันเสียจนหมดจึงทำให้ผมต้องแบกท้องกลับมากินข้าวที่บ้านของผมแทน
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมพร้อมกับชาวบ้านก็ได้เดินทางขึ้นไปรัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือให้กับกรรมาธิการทหาร
“กำนันทองให้เอารถตู้ของเขาไปน่ะ ไม่ต้องไปเช่ารถของคนอื่น”ลุงสิงห์โทรมาบอกกับผมระหว่างที่กำลังเดินทางไปรัฐสภากับชาวบ้าน ส่วนผมและนายหัวชาญก็ขับรถยนต์ส่วนตัวกันไปต่างหาก
ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างผ่านด่านทหารรถยนต์ของผมก็ถูกค้นอีกครั้งในขณะที่รถยนต์ของนายหัวชาญกลับไม่โดนค้น
วันต่อมาผมและชาวบ้านที่เดินทางมาด้วยรถตู้ของกำนันทองก็มาถึงรัฐสภาตั้งแต่ตอนเช้า
จากนั้นผมก็ถูกเรียกตัวเข้าไปยังห้องรับรองของรัฐสภาเพียงคนเดียวโดยที่ชาวบ้านคนอื่นถูกสั่งให้รอบริเวณด้านนอกทั้งหมด
“ผมได้ยินชื่อคุณบ่อยมาก”ประธานกรรมมาธิการทหารบอกกับผม
“ได้ยินในเรื่องที่ดีหรือไม่ดีเหรอครับ”ผมถามกับท่านประธานด้วยความสงสัย
“ข่าวคุณนี่มันออกบ่อยจนผมเห็นหน้าคุณครั้งแรกผมก็จำได้เลย”ท่านประธานบอกกับผม
“ยังไงท่านก็ต้องช่วยชาวบ้านนะครับ ส่วนเรื่องของผมก็แล้วแต่ท่านจะเห็นควรครับ”ผมบอกกับประธานกรรมาธิการทหารไป
“ไม่ต้องห่วงยังไงผมก็ช่วยกันทั้งหมดแหละ”ท่านประธานบอกกับผม
“ขอบพระคุณท่านมากครับ”ผมยกมือไหว้เขา
“ผมถามจริงๆเถอะ คุณไปเหยียบตาปลาใครเขาเข้าล่ะ ถึงโดนอ่วมขนาดนี้”ท่านประธานฯถามกับผม
“ผมก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยครับ มากันแบบไม่ทันตั้งตัว”ผมบอกกับท่านประธานกรรมาธิการไปตามตรง
“คุณเชื่อผมสิ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ”ท่านประธานบอกกับผมพลางมองตาผม
“เดี๋ยวเราไปแถลงข่าวกัน จากนั้นผมจะรีบนัดประชุมกรรมาธิการให้ ช่วงนี้คุณก็อยู่เงียบๆก่อนนะ อย่าเพิ่งทำอะไรไป ผมล่ะห่วงคุณจริงๆ”ประธานกรรมมาธิการบอกผมก่อนที่จะเดินนำผมไปยังห้องแถลงข่าวของรัฐสภา
หลังจากแถลงข่าวกันเสร็จผมกับตู่ชาวบ้านจากช่องหินหมูก็ยื่นเอกสารให้กับท่านประธานกรรมาธิการ
จากนั้นผมและชาวบ้านก็เดินทางกลับซึ่งแน่นอนว่าผมก็ต้องโดนค้นรถอีกเช่นเคยเมื่อถึงด่านของทหาร
ระหว่างทางลุงสิงห์โทรมาบอกว่ารถตู้ของกำนันทองดันมาพังระหว่างทางทำให้ลุงสิงห์ต้องเรียกช่างมาลากไปซ่อมที่อู่
จากนั้นลุงสิงห์และชาวบ้านก็นั่งรถทัวร์กลับมาที่สุราษฎร์กันเองส่วนรถตู้ของกำนันทองค่อยให้ลูกน้องของกำนันมาขับกลับไปหลังจากที่ซ่อมเสร็จ
“รถเบ๊นซ์ก็มีดันไม่ให้มา ให้มาแต่รถเก่าๆ นี่แหละนะคนรวย จะช่วยก็ไม่ช่วยให้สุดๆ”ลุงสิงห์โทรมาบ่นกับผมเมื่อถึงบ้านของเขา
“เอาน่า อย่างน้อยเขาก็ช่วย”ผมบอกกับลุงสิงห์ไปก่อนที่จะวางสายไป
สัปดาห์ต่อมาผมได้รับจดหมายจากทางรัฐสภาให้ไปชี้แจงข้อร้องเรียนของผมต่อกรรมาธิการทหาร
ซึ่งในหนังสือระบุผู้ที่ต้องเข้าไปชี้แจงมีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอและผู้การตำรวจรวมถึงนายทหารโจทย์เก่าของผมด้วย
วันต่อมาผมจึงขับรถยนต์ออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปยังรัฐสภา
เมื่อผมมาถึงด่านทหารผมก็โดนทหารเรียกตามปกติ
“ผมขออนุญาตควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกครับ”ทหารที่ด่านกรูกันเข้ามาล้อมรถยนต์ของผมก่อนที่จะบังคับให้ผมลงจากรถเพื่อควบคุมตัวผมไว้
โดยที่ครั้งนี้ไม่มีการตรวจค้นรถหรือตรวจฉี่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา...
#เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
โฆษณา