16 ต.ค. 2022 เวลา 12:51 • บันเทิง
"EDM" วัฒนธรรมดนตรีแห่งโลกยุคใหม่
1
สำหรับผมแล้ว บนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก สิ่งที่มีความเสมอภาค และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิ-เสรีภาพ อย่างแท้จริงมีอยู่แค่สองสิ่ง นั่นคือ ดนตรี และ ศิลปะ
1
ดนตรี และศิลปะ เปรียบราวกับตาข้างซ้ายและขวาของผม ที่มันพอจะทำให้ผมมองเห็นโลกที่วุ่นวายนี้ได้สวยงาม และน่าอยู่มากขึ้น
1
เพราะทั้งสองสิ่งนี้มันไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น ไม่เคยดูฐานะ ไม่สนใจศาสนา ลัทธิความเชื่อ ไม่สนใจอายุ ไม่สนใจมุมมองการเมือง ไม่สนใจเพศสภาพ ไม่สนใจสีผิว ไม่สนใจการศึกษา ของผู้เข้าไปสัมผัสลิ้มรสอารมณ์ของมัน มันจึงเป็นสิ่งที่ เสรี อิสระ และเท่าเทียม อย่างแท้จริง
1
สิ่งที่ผมอยากชวนคุยกันต่อคือ วัฒนธรรมดนตรีแนวใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งยุคสมัยใหม่ ชนิดมาแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ แม้จะโดนสกัดดาวรุ่งไปบ้างในช่วงโควิดระบาด แต่ยังไม่ถึงกับเป็นดาวร่วง เพราะหลังจากโควิดเริ่มจางหาย ดนตรีแนวนี้ก็กลับมาเฉิดฉายยิ่งกว่าเดิม มากันแบบรัวๆๆๆๆไม่หยุด ผ่าน "งานเฟส" ที่คอดนตรีแนวนี้เรียกกันสั้นๆ ผมจะพาไปรู้จักกับแนวดนตรี หรือวัฒนธรรมดนตรีแห่งโลกยุคสมัยใหม่ ที่มันมีชื่อว่า ......"EDM"
1
อาจเรียกได้ว่า EDM นั่นเป็นดนตรีแห่งศตวรรษที่ 21 ก็คงไม่แปลก เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาสู่ศตวรรษ ที่ 21 จนในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาดนตรี EDM ได้แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก
 
EDM ย่อมาจาก Electronic Dance Music (เพลงแดนซ์อิเล็กทรอนิกส์)
แล้ว EDM คืออะไร?
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดนตรีแบบไหนคือ EDM ?
1
คำตอบนั่น ชัดเจนอยู่ในชื่อของมันแล้ว รวบรัดใจความง่ายๆ คือ ดนตรีอะไรที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ และที่สำคัญคือมันต้องเป็นดนตรีที่เต้นได้!!!...แค่นั่นละมันก็คือ "EDM"
3
รูปแบบดนตรีแดนซ์อิเล็กทรอนิคส์นั่น มีมานานแล้วก่อนจะเกิด คำศัพท์ EDM แบบย่อที่ใช้เรียกดนตรีแนวนี้ แต่โดยพื้นฐานแล้วมันหมายถึงเพลงรูปแบบใด ๆ ที่ผลิตทั้งทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยระบบดิจิตอล (คอมพิวเตอร์) และอุปกรณ์อนาล็อก และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เต้นได้
โดยปกติแล้วรูปแบบจะมีเครื่องดนตรีและเสียง เช่น ซินธิไซเซอร์ ดรัมแมชชีน และที่ขาดไม่ได้คือ เสียงทางอิเล็กทรอนิคส์ อยู่ในเสียงของมัน มีลักษณะรูปแบบเสียงที่แม่นยำ เต็มกำลัง และดัง
ผู้เล่น หรือ DJ สามารถควบคุมเสียงเพลงได้อย่างสมบูรณ์ และอิสระ
ในดนตรี EDM ไม่ได้จำกัดขอบเขต ยึดติดรูปแบบเพลงอยู่เพียงสถานการณ์การบันทึก 'สด' เท่านั้น ดังนั้นในการแสดงสดของเหล่า ดีเจจึงสามารถควบคุมทุกวินาทีของเพลงได้อย่างอิสระ และสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติ่ม ลดทอน ได้ตลอดเวลา
ดีเจสามารถวางกลองเตะในจังหวะใดก็ได้ตามจังหวะที่ต้องการ สามารถเพิ่มบางสิ่งบางอย่างเช่นเสียงแทรกแปลกๆ หรือท่อนคำพูดได้ตลอดเวลา สร้างรูปแบบใหม่ๆออกมาได้ตลอดเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ไม่น่าเบื่อ ไม่ซ้ำซากและจำเจ
Dance vs. Electronic
อย่างไรก็ตาม บางคนนิยามดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และดนตรีแดนส์เป็นแนวเพลงที่แยกจากกัน เพราะดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้สร้างมาเพื่อคลับ หรือผับเสมอไป
1
แต่ให้คิดภาพง่ายๆ เหมือน EDM เป็นร่มคันใหญ่ และภายใต้ร่มนั่นก็ยังแยกแตกกระจายออกมาได้อีกหลากหลายแนว และถ้ายึดเอาตามแนวทางที่ว่า EDM นั่นเป็นดนตรีที่เกิดจากเสียงในรูปแบบอิเล็คทรอนิคส์ และถูกออกแบบมาให้เต้นได้
เพราะฉะนั่นถ้าผมจะพูดว่า ดนตรีแนว สายตื๊ด สายย่อ ที่ฮิตในเมืองไทยก็ต้องจัดอยู่ในร่มเงา ของร่มคันใหญ่ของ EDM ก็คงเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิด ใครจะรู้ถ้าสนับสนุนดีๆ EDM แนวไทยๆนี้อาจดังไกลไประดับโลกก็เป็นได้
มาดูประวัติโดยย่อของดนตรี EDM กันหน่อย
1
ดนตรี EDM มีรากฐานมาจากรูปแบบของดนตรีที่เรียกว่า Musique Concrete ซึ่งเป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศส ในรูปแบบดนตรีนี้ ตัวอย่างเสียงที่บันทึกไว้จะถูกจัดเรียงเป็น ชิ้นดนตรีที่ใช้เทคโนโลยีพื้นฐาน แล้วนำรูปแบบเสียงแต่ละชิ้นมาเชื่อมต่อ ตัดปะเข้าหากัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวทางที่แหวกแนว และแปลกใหม่มากในสมัยนั้น หรือ ง่ายๆก็คือ การตัดต่อของเสียงดนตรีหลายๆชนิดมาตัดปะเข้าด้วยกันจนเกิดท่วงทำนองใหม่
2
ต่อมาการกำเนิด ซินธิไซเซอร์ หรือ เครื่องสังเคราะห์เสียง ออกแบบมาเพื่อสร้างเสียงจำลอง โดยใช้เทคนิคต่างๆเช่น การเพิ่มเสียง, การลดเสียง หรือการทำให้คลื่นเสียงผิดเพี้ยนรูปร่างไป ในยุคแรก ๆซินธิไซเซอร์ ก็ถูกสร้างขึ้นและได้เริ่มนำมาใช้ในดนตรีรูปแบบนี้
เมื่อเวลาผ่านไป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบเดียวกันก็เริ่มถูกนำมาใช้ทั้งในประเภทอะคูสติกที่มีอยู่แล้ว รูปแบบเพลงเฮาส์ (House Music) ถือเป็นหนึ่งในเพลงแรกภายใต้ร่มเงา ของร่มคันใหญ่ใน EDM เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั่นคำว่า EDM ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา เพลงรูปแบบนี้จึงถูกเรียกรวมๆว่า Dance music หรือ เพลงเต้นรำ
ต่อมาอิทธิพลจากเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยอะคูสติก เช่น ดิสโก้ ฟังก์ โซล และแจ๊ส ดนตรีเฮาส์กลับมีความแตกต่างที่มีรูปแบบเสียงอิเล็กทรอนิคส์ที่ชัดเจนกว่ามาก ขับเคลื่อนด้วยจังหวะกลอง และ เสียงซินธ์ที่ให้ความรู้สึกล่องลอย
นี่เป็นหนึ่งในรูปแบบแรก ๆ ของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่ 'เต้นได้'
1
ภายหลังจากเกิดเพลงเฮาส์ หรือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่เต้นได้ เวลาผ่านไปกว่า 10-20 ปี จุดเปลี่ยนที่สำคัญของเพลงแดนซ์อิเล็คทรอนิคส์คือการเปลี่ยนจากอุปกรณ์อนาล็อกไปเป็น ดิจิตอลบนคอมพิวเตอร์
1
การมาถึงของยุคสมัยแห่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เฟื่องฟู (PC) ทำให้ผู้สร้างสรรค์เพลงเข้าถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ได้ง่ายกว่าสมัยก่อน มาก ด้วยต้นทุนที่ลดต่ำลงอย่างมาก โดยเปลี่ยนแปลงจากระบบอนาล็อก ไปเป็นระบบดิจิตอลเกือบทั้งหมด
เครื่อง Mac รุ่นแรกๆ มักเป็นคอมพิวเตอร์ที่ผู้สร้างสรรค์เพลงเลือกใช้ ก็ต้องขอบคุณสตีฟ จ๊อป ที่พัฒนาเครื่อง Mac ออกมา ไม่เช่นนั่นทุกวันนี้เราอาจยังไม่มีดนตรี EDM ที่หลากหลาย และมันๆให้โยกหัวกันกระจายแบบทุกวันนี้ก็เป็นได้
1
mac รุ่นแรกๆที่ใช้ทำเพลงแนว EDM
การเข้าถึงได้ง่ายของอุปกรณ์ ทำให้แนวเพลงแดนส์อิเล็คทรอนิคส์ เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็วคู่ขนานไปกับเกิดรูปแบบแนวเพลงที่หลากหลายพร้อมกันไปด้วย ในช่วงเวลานี้เองจึงปรากฎร่างของแนว jungle , garage , hip-hop , techno , trance , electro house , progressive , eurodance และอื่นๆอีกมากมาย
และในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา ดนตรีอิเล็คทรอนิคส์แดนซ์เริ่มแพร่หลาย และได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาสร้างความครึกครื้นในระดับสาธารณะ ไม่ใช่แค่ซ่อนตัวอยู่ในเงาหลืบความมืดของคลับ หรือผับอีกต่อไป
1
และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำว่า 'EDM' ที่แพร่หลายเพราะเป็นคำศัพท์ที่เรียบง่าย จำง่าย และติดปาก ใช้เพื่ออธิบายดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทที่สามารถเต้นได้
1
ประเภทย่อยของ EDM
แนวเพลงย่อยที่แตกต่างกันมากมายในดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์
มีมากมายในร่มเงาของร่มคันใหญ่ที่ชื่อว่า EDM ได้รับความนิยมมากน่าจะเป็น Future Bass, Big Room House, Hybrid Trap, Dubstep , Electronic Pop และ Future House
แนวที่จะได้ยินในงานเทศกาล หรือ งานเฟสติวัลและคลับหลักๆ ส่วนใหญ่ และมีผู้บุกเบิกโดยศิลปินอย่าง Hardwell (Big Room), Skrillex (Modern Dubstep), Diplo (Trap / Electro House) และศิลปินชื่อดังอื่นๆ
แต่ยังมีอีกมากมายหลายแนว เช่น Deep House ,Trance, Dub&Bass , Hard Style, Garage และถ้าลึกมากๆ ก็ถึงขั้นแนว 'Hyper Jazzstep' หรือ 'Hardcore breakbeat trance' และ อีกมากมาย
ส่วน EDM ที่น่าจะดูเป็นสากล และแพร่หลายในวงกว้างมากที่สุด ผมอยากจะยกเทศกาลงานดนตรี EDM ระดับโลก อย่าง Tomorrowland งานเฟสติวัล ดังกล่าวสำหรับสาวก EDM แล้ว เปรียบดั่งกับ การได้เยือน "นครเมกกะ" ของชาวมุสลิมกันเลยทีเดียว
1
Tomorrowland เปรียบดั่งแดนสวรรค์ที่คอพันธุ์แท้ EDM อยากได้ไปเยือนสักครั้งในชีวิต สำหรับค่าใช้จ่ายในการไปร่วมสักครั้งถ้าเป็นคนไทย อย่างน้อยต้องเตรียมเงินค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 150,000 - 200,000 บาทเลยทีเดียว และอย่างงาน Tomorrowland แนว เพลงส่วนใหญ่ และศิลปินจะอยู่ในกลุ่มของ Bigroom และ Trap เช่น Martin Garrix , David Guetta , Armin , Steve aoki, Skrillex, Snake เป็นต้น
3
ช่วงปี 2010 - 2011 เป็นช่วงเวลาที่ดนตรี EDM เฟื่องฟูสว่างไสวราวกับพลุที่จุดหลังเวที Tomorrowland และคำว่า EDM แพร่หลายอย่างมาก มันถูกใช้ทั้งในแง่ของการนิยามแนวดนตรี และใช้ทั้งในแง่การตลาดไปพร้อมๆกัน ก่อนที่จะใช้คำว่า EDM คำศัพท์ที่ใช้สำหรับนิยามดนตรีแดนซ์อิเล็กทรอนิกส์คือ electronica , electronic music และ dance music
1
ทำไมดนตรี EDM จึงแพร่หลายและมีความนิยมอย่างรวดเร็ว ?
1
ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่ารูปแบบดนตรี แบบ EDM มันถูกจริตต่อคนยุคสมัยใหม่อย่างแท้จริง เพราะมันเป็นแนวดนตรีที่เต้นได้ มีความครึกครื้นสนุกสนานเป็นพื้นฐาน แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั่น EDM มีรูปแบบดนตรีที่ แฝงไปด้วย อิสระ เสรีภาพ และจินตนาการ มากกว่ารูปแบบดนตรีที่เคยมีมา เนื่องจากมันไม่ได้ผูกรัดหรือจำกัด และยึดโยงความหมายของดนตรีด้วยเนื้อร้องของเพลง เพราะหลักๆแล้วดนตรี EDM จะไม่มีเนื้อร้อง ถึงมีแต่ก็น้อยมากๆแค่เป็นส่วนเสริม ไม่ใช่สาระหลักของเพลง
การไม่ได้โดนผูกมัดจากความหมายของเนื้อเพลง จึงเกิดปรากฏการณ์ที่ผู้รับฟังแต่ละคนจะมีเสรีภาพ อิสรภาพในการตีความหมายในระดับส่วนตัวของแต่ละคนตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมา และความเป็น Personal Identity
1
นี้เองคือจริตสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ในโลกยุคใหม่ ที่ต้องการความแตกต่าง ไม่ซ้ำคนอื่น และไม่จำเจ เปลี่ยนแปลงง่าย รวดเร็ว ตลอดเวลา เหล่านี้ EDM จึงเกาโดนจุดคัน ดันโดนจุดรุ่งกับยุคสมัยพอดี
ซึ่งผมมองว่ามันมีความคล้ายคลึงอยู่มากกับดนตรีคลาสสิคในสมัยก่อน ที่ใช้ประสบการณ์ของแต่ละบุคคลไปจับเข้ากับความหมายของดนตรี ซึ่งจนถึงปัจจุบันดนตรีคลาสสิคก็ยังยืนยงอย่างแข็งแกร่งบนโลกใบนี้
ยกตัวอย่างเช่น มีเพลงแดนส์ เดียวกันจังหวะมันมาก ผมกับเพื่อนชอบจังหวะของมันทั้งคู่ แต่ผมติดที่ว่าไม่ชอบเนื้อหาในเพลงเพราะมันอาจไปตำใจในประสบการณ์ความรักที่เลวร้ายของผมในอดีต ผมเลยอาจพาลไม่ชอบเพลงนี้ไปด้วย....แต่ถ้าหากเพลงนี้ไม่มีเนื้อหาเพลง ทั้งผมและเพื่อนต่างก็จะชอบมัน เพราะต่างคนต่างก็จะจับจังหวะที่ชอบนี้ไปรวมเข้ากับประสบการณ์ที่ดีๆ ของแต่ละคนอย่างอิสระเสรี
1
และการที่ EDM เป็นดนตรีปลายเปิดรูปแบบนี้มันจึงขยายวงกว้าง อย่างรวดเร็ว และแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก
การเคลื่อนผ่านเข้าสู่โลกยุคใหม่นั่น กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า ส่วนแนวเพลง EDM จะยังคงแข็งแกร่ง และนิยมไปจนร่วมสมัยไปเป็นวัฒนธรรมดนตรีหลักแห่งโลกยุคใหม่ได้หรือไม่ก็ต้องรอชมกันต่อไป แต่ไม่ว่าอย่างไร ดนตรี ก็คือ เสรีภาพ เสมอภาค และอิสรภาพ อย่างแท้จริงบนโลกใบนี้...โลกที่บิดเบี้ยวยิ่งกว่าโดนเครื่องซินธิไซเซอร์ดัดแปลงมัน...
1
...ถ้าพร้อมกันแล้วก็....
..เอ้า พุช ยัว แฮนด์ ซับ...เมค ซัม นอยสสส์ .../ JPW
--------------------------------------------‐--------------------------
ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพประกอบ
Aden Russell / www. EDMProd .com
เครื่องสังเคราะห์เสียง / th.m.wikipedia.org
ภาพ โดย Zacharg Smith , Zec Bromell, Karina lago, Jason Leung จาก Unsplash.com
โฆษณา