สหรัฐหาเรื่องทะเลาะกับเขาไปทั่ว นึกว่าตัวเองเป็นขาใหญ่เหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะรัสเซีย จีน ซาอุ และอิหร่าน ล่าสุดนักข่าวเรากระซิบมา มีปากีสถานเพิ่มมาด้วย แล้วมันไปรอดหรือนี้ ในสงคราม Hybrid สื่อตะวันตกเองยอมรับว่า ไม่รอดจริงๆ
นักวิชาการทหารตะวันตก ชี้ว่า ที่ผ่านมาในอดีตหลายสิบปี สหรัฐมักจะทำสงคราม Hybrid โดยเจาะจงกับแต่ละประเทศเท่านั้น ผลก็คือสหรัฐ ได้รับการชัยชนะอย่างง่ายดาย ไม่ว่า ลิเบีย อิรัค เวเนซูเอล่า และอีกหลายประเทศ
มาคราวนี้ สหรัฐจะต้องเผชิญกับรัสเซีย จีน อิหร่าน และซาอุดิอาราเบีย โดยตรง เล่นกันหนักมาก รวมถึงประเทศในโซนเอเชีย และแอฟริกา ที่ไม่กล้าออกหน้าสู้ แต่ลับหลัง สนับสนุนโลกหลายขั้วอย่างครื้นเคร่ง
อย่างไรก็ตามสหรัฐ ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำสงคราม hybrid พร้อมๆกัน หลายประเทศ หลายทิศทาง หลากหลายมิติ ไม่ว่าทั้งทางทหาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจ รวมถึงสงครามสื่อสารมวลชน
สื่อ Bloomberg ยอมรับว่า สหรัฐไม่สามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่แนวรบแปซิฟิคเหนือ ผ่าน มหาสมุทรอินเดีย ทะลุอ่าวกัฟฟ์ ไปจนถึงทะเลดำ เพราะที่ผ่านมาสหรัฐ ไม่เคยเผชิญกับปัญหาสงคราม Hybrid ที่จะต้องแก้ไขระดับโลกแบบนี้มาก่อน
และการเผชิญหน้าทางการทหารในโรงละครแยกกันหลายแห่ง สหรัฐยากที่จะทำได้ อันเนื่องมาจากสหรัฐจะมีภาระงานหนักมากมาย จนไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาใดปัญหาหนึ่งได้
ประกอบกับความสามารถของวอชิงตันทุกวันนี้ ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาต่างๆได้เลย เพราะติดเงื่อนไขและข้อระเบียบที่จำกัด สำหรับการปฏิบัติงานของสหรัฐจะเข็มงวดมากในสภาวะที่รุนแรงเช่นนี้
นักวิชาการตะวันตก ระบุว่าทุกวันนี้ สถานการณ์ตึงเครียดรอบๆยูเครน ไต้หวัน และตะวันออกกลางสามารถพัฒนาไปสู่สงครามระดับโลกได้
และสหรัฐจะต้องกำหนดบทบาทและประเด็นสำคัญสำหรับตนเองให้ชัดเจน
เพราะตอนนี้ฝ่ายตรงข้าม ได้พากันเดินหน้าถล่มสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ทุกทิศทุกทาง เริ่มจากทะเลดำก่อน โดยเฉพาะปูติน
ในเวลานี้ The Washington Post ชี้ให้เห็นความนิยมของความคิดของปูตินในหมู่ผู้นำและประชากรของตะวันตกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
และเมื่อวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวสุนทรพจน์ ผู้คนส่วนใหญ่จะบอกว่า ประโยคที่ปูตินกล่าวฟังดูคุ้นเคย และน่าดึงดูดสำหรับหลายๆ คนในระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปจนถึงยุโรป
เมื่อสองวันก่อน Nicholas Gvozdev ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาความมั่นคงแห่งชาติที่ US Naval War College ให้สัมภาษณ์ว่า สังเกตเห็นแนวโน้มที่สะท้อนถึงความอึดอัด และคับข้องใจของคนทั้งโลก
ระบอบประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างของผู้นำที่มีประสิทธิภาพและทรงเสน่ห์เช่นนี้ได้
ที่ผ่านมา Oleg Morozov รองผู้ว่าการรัฐดูมา กล่าวถึงประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ปูตินว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น
ท่านสามารถใช้วาทศิลป์นิวเคลียร์ เป็นเครื่องมือในการกดดันตะวันตกได้เช่นกัน
ต่อมา สมาชิกรัฐสภาเดโมแครตสามคนของรัฐสภาสหรัฐ ได้แก่ ฌอน คาสเตน, ทอม มาลิโนฟสกี และซูซาน ไวลด์ พากันออกมากล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า การลดการผลิตของกลุ่มโอเปก 2 ล้านบารเรลล์ต่อวัน เป็น "การออกหมัดกระแทกอย่างรุนแรง"ต่อสหรัฐ
ทั้งๆที่กลุ่มพันธมิตรน้ำมันตะวันออกกลาง ไม่เคยลดโควตาอย่างนี้มาก่อน และไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำในทันที เว้นแต่พวกเขาจะพยายามทำร้ายสหรัฐ เพื่อประโยชน์ของรัสเซีย
เมื่อวาน นักข่าวทางทหารรายงานจาก ดามัสกัส ซีเรีย ว่า พื้นที่เขตยึดครองซีเรียโดยกองกำลังสหรัฐ ที่เก็บเกี่ยวน้ำมันและก๊าซไปถึง 107.1 พันล้านดอลลาร์ นั้น ได้ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โจมตีโดย
ปล่อยขีปนาวุธออกจากพื้นที่ al-Hanawi และ al-Mazare ของ Deir ez-Zur และในระหว่างการโจมตี จะพบว่าเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของสหรัฐสามารถเห็นลอยอยู่เหนือพื้นที่โจมตี โดยไม่ต้องใช้เครนยก
เมื่อไม่นานนัก นักวิเคราะห์ทางทหารของจีน เชื่อว่า ความสำเร็จของจีนในการเปิดตัวเรือบรรทุกเครื่องบินฝูเจี้ยนที่ผ่านมา ลำต่อไปน่าจะใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการขับเคลื่อน
โดยมีข้อสังเกตว่า China State Shipbuilding Corporation (CSSC) ระบุว่าจะต้องบรรลุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ ภายในปี 2027 ให้ได้
http://www.marinerthai.net/pic-news3/2014-01-21_003.jpg
วันนี้ Malcolm Davis นักวิเคราะห์ตะวันตก แสดงความเห็นว่า สายการเดินเรือต่อไปของจีนจะใช้พลังงานนิวเคลียร์ โดยระบุเหตุผลสำคัญ 2 ประการ
ประการแรก เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์เหมาะสมของจีน เพราะการจะมีกองทัพเรือระดับโลกนั้น จะต้องมีความสามารถในการเดินทางระยะไกล ช่วยลดความจำเป็นในการส่งกำลังบำรุงกับฐานทัพหน้าและการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือ
ประการที่สอง เรือบรรทุกเครื่องบินที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นทรัพย์สินอันทรงเกียรติ ซึ่งหากได้รับมาจะเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของจีนในฐานะมหาอำนาจระดับโลกได้ดี
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า กองเรือบรรทุกเครื่องบินนิวเคลียร์ ถือว่าเป็นกองเรือที่มีศักยภาพระดับสูงที่สามารถคุมคามความปลอดภัยของสหรัฐได้เป็นอย่างดี
โดยสามารถย้ายสนามรบออกจากหน้าบ้านตัวเองได้ และขยายขีดความสามารถไปจนถึงเกาะกวม ตลอดจนแนวชายฝั่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียได้
ประธานาธิบดี ไบเด็น กล่าวว่า สิ่งที่ฉันคิดว่าอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่อันตรายที่สุดในโลกก็คือ ประเทศปากีสถาน อาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่มีทางที่ทำงานร่วมกันได้
บิลาวาล บุตโต-ซาร์ดารี รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ โดนัลด์ โบลเม มาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของไบเดน ซึ่งเผยแพร่ในบันทึกบนเว็บไซต์ทำเนียบขาว
และกล่าวในงานแถลงข่าวว่า "เท่าที่คำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงของสินทรัพย์นิวเคลียร์ของปากีสถานเราปฏิบัติตามมาตรฐานสากลทุกประการตาม"
นักวิชาการพอสรุปได้ว่าการทำสงครามhybrid พร้อมๆกันหลายประเทศ ต้องอาศัยกำลังคน กำลังเงิน มหาศาลและผู้นำจะต้องเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังเป็นต้น
- 8
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
